นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๖
๑. พระวินัย คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร ?
ตอบ : คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
ได้อานิสงส์ คือไม่ต้องเดือดรอนใจ เกิดความแช่มชื่นว่าตน ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ภิกษุ ผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน ฯ
๒. อาบัติคืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ ๖ อย่างนั้น อย่างไหนเสียหาย มากที่สุด ?
ตอบ : คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ
ต้องด้วยไม่ละอาย จัดว่าเสียหายมากที่สุด ฯ
๓. สิกขา และ สิกขาบท ได้แก่อะไร ?
ตอบ : สิกขา ได้แก่ข้อที่ควรศึกษา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
สิกขาบท ได้แก่พระบัญญัติข้อหนึ่ง ๆ ฯ
๔. ภิกษุทำคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่จงใจ ไม่ต้องอาบัติ แต่ถ้าจงใจทำให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติปาราชิก ฯ
๕. ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากแม้คืนหนึ่ง ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : มี สังฆาฏิ คือผ้าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม และอันตรวาสก คือผ้านุ่ง ฯ
ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
๖. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกันกับสามเณร จะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : นอนได้ ๓ คืน ไม่เป็นอาบัติ เกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๗. พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพูดอย่างนั้นต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยประสงค์จะให้เขารักตน หรือให้เขาแตกกัน ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ฯ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๘. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน เป็นอาบัติอะไร หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าได้รับสมมติไว้ ไม่เป็นอาบัติ
แต่ถ้าไม่ได้รับสมมติ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๙. เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุละเมิดต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : คือวัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษา ฯ
ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๑๐. การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
ตอบ : คือนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่าง ปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมา เพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงปิดข้อเท้า ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๕
๑. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๔ อย่าง ฯ คือ
๑. เสพเมถุน ๒. ลักของเขา
๓. ฆ่าสัตว์ ๔. พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
๒. อาบัติคืออะไร ? มีโทษอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ
มีโทษ คือ
อย่างหนัก ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
อย่างกลาง ทำให้ต้องอยู่กรรม คือประพฤติวัตรอย่างหนึ่ง เพื่อทรมานตน
อย่างเบา ทำให้ต้องแสดงต่อหน้าภิกษุด้วยกัน ฯ
๓. สิกขาคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : คือ ข้อที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ
มี ๑. ศีล ความรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย
๒. สมาธิ ความรักษาใจมั่น
๓. ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร ฯ
๔. ภิกษุฆ่ามนุษย์ ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ฆ่ามนุษย์ ต้องอาบัติปาราชิก
ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๕. ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องกายมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : จับต้องกายมนุษย์ที่เป็นหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จับต้องกายมนุษย์ที่เป็นบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
จับต้องกายมนุษย์ที่เป็นชาย ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๖. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตนต้องอาบัติอะไร ? ลาภนั้น ได้แก่อะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ซึ่งเรียกว่าปัจจัย ๔ และของที่เป็นกัปปิยะอย่างอื่น ฯ
๗. ภิกษุเข้าบ้านในเวลาวิกาล โดยไม่บอกลาภิกษุอื่นในวัด ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีกิจรีบด่วน ฯ
๘. ภิกษุสนทนาพูดคุยในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๙. ในการรับบิณฑบาต ภิกษุสามเณรพึงปฏิบัติอย่างไรจึงถูกต้องตามเสขิยวัตร ? จงเลือกตอบเพียง ๒ อย่าง
ตอบ : ๑. รับโดยเคารพ
๒. แลดูแต่ในบาตร
๓. รับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
๔. รับแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ
(เลือกตอบเพียง ๒ อย่าง)
๑๐. ภิกษุเถียงกันด้วยเรื่องอะไร จึงเรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ ?
ตอบ : เถียงกันด้วยเรื่อง สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๔
๑. ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : เรียกว่า นิสัย ฯ มี ๔ คือ
๑. เที่ยวบิณฑบาต ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๓. อยู่โคนต้นไม้ ๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ
๒. พระวินัย คืออะไร ? ผู้รักษาพระวินัยนั้นดีแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร ?
ตอบ : คือ พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
ได้อานิสงส์ คือ ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแช่มชื่นว่าได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ภิกษุผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน ฯ
๓. ผู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาดีแล้ว จะได้รับประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ : ย่อมได้รับประโยชน์ คือ
ปฏิบัติศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจา เรียบร้อย
ปฏิบัติสมาธิ ทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน
ปฏิบัติปัญญา ทำให้รอบรู้ในกองสังขาร ฯ
๔. พูดอย่างไรเรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ?
ตอบ : พูดอวดคุณพิเศษอันยิ่งของมนุษย์ เช่น ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน เรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ฯ
๕. คำว่า “ภิกษุประทุษร้ายตระกูล” ในสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งสังฆาทิเสส หมายถึงการทำอย่างไร ?
ตอบ : หมายถึงการที่ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย เช่นเดินส่งข่าวให้เขาเป็นต้น หรือโดยให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ
๖. ผ้าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๓ อย่าง ฯ คือ
๑. สังฆาฏิ (ผ้าคลุม)
๒. อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)
๓. อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ฯ
๗. พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพูดอย่างนั้นต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยประสงค์จะให้เขารักตน หรือให้เขาแตกกัน ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ฯ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๘. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน เป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าได้รับสมมติไว้ ไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าไม่ได้รับสมมติ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
๙. เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่ปฏิบัติตาม ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : คือ ธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๑๐. การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
ตอบ : คือ นุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมา เพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงกรอมข้อเท้า ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๓
๑. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๔ อย่าง
คือ ๑. เสพเมถุน ๒. ลักของเขา
๓. ฆ่าสัตว์ ๔. พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
๒. อาบัติคืออะไร ? ว่าโดยชื่อมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : อาบัติ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ
มี ๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย
๔. ปาจิตตีย์ ๕. ปาฏิเทสนียะ ๖. ทุกกฏ
๗. ทุพภาสิต ฯ
๓. สิกขาคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ
มี ๑. ศีล ความรักษากายวาจาให้เรียบร้อย
๒. สมาธิ ความรักษาใจมั่น
๓. ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร ฯ
๔. ภิกษุทำคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่จงใจ ไม่ต้องอาบัติ แต่ถ้าจงใจประสงค์จะให้เขาตายต้องอาบัติปาราชิก ฯ
๕. ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องอนุปสัมบัน ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : จับต้องอนุปสัมบันที่เป็นหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จับต้องอนุปสัมบันที่เป็นบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
จับต้องอนุปสัมบันที่เป็นชาย ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๖. เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ?
ตอบ : ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ
๗. ภิกษุน้ำเก้าอี้ของสงฆ์ไปใช้ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไปจากที่นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ? ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : พึงเก็บเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายแก่ผู้อื่น ฯ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๘. เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุละเมิดต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : คือวัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษา ฯ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๙. ในการรับบิณฑบาต ภิกษุพึงปฏิบัติอย่างไรจึงถูกต้องตามเสขิยวัตร ? จงตอบมาเพียง ๒ ข้อ
ตอบ : รับโดยเคารพแลดูแต่ในบาตร รับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก รับแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)
๑๐. การเถียงกันด้วยเรื่องอะไร จึงจัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ ?
ตอบ : การเถียงกันว่า สิ่งนี้เป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๒
๑. ภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : ย่อมได้อานิสงส์ คือไม่ต้องเดือดร้อนใจได้รับความแช่มชื่น ว่าได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ ภิกษุผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน ฯ
๒. นิสสัยคืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : คือปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต ฯ มี ๔ อย่าง ฯ
๑. เที่ยวบิณฑบาต ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๓. อยู่โคนต้นไม้ ๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ
๓. พูดอย่างไรเรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ?
ตอบ : พูดอวดคุณพิเศษอันยิ่งของมนุษย์ เช่น ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน เรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ฯ
๔. ปาราชิก ๔ สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้คนอื่นทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด ?
ตอบ : สิกขาบทที่ ๒ และสิกขาบทที่ ๓ ฯ
๕. คำว่า “ภิกษุประทุษร้ายตระกูล” ในสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งสังฆาทิเสส หมายถึงการทำอย่างไร ?
ตอบ : หมายถึงการที่ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย เช่นเดินส่งข่าวให้เขาเป็นต้น หรือด้วยการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ
๖. จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ อย่างไหนไม่ควร ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ : จีวรและอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ห่ม ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ
๗. ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่งต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : มี สังฆาฏิ คือผ้าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม และอันตรวาสก คือผ้านุ่ง ฯ
ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
๘. ภิกษุเข้าบ้านในเวลาวิกาล โดยไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัด ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีกิจรีบด่วน ฯ
๙. เสขิยวัตร คืออะไร ? โภชนปฏิสังยุต ว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ : คือ วัตรหรือธรรมเนียมที่ภิกษุจำต้องศึกษา ฯ
ว่าด้วยเรื่องการรับและการฉันอาหาร ฯ
๑๐. ภิกษุฉันพลางพูดพลาง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : พูดทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในปาก ต้องอาบัติทุกกฏ พูดไม่มีอาหารอยู่ในปากไม่ต้องอาบัติ ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๑
๑. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : เรียกว่า อกรณียกิจ ฯ มีดังนี้ คือ
๑. เสพเมถุน
๒. ลักทรัพย์
๓. ฆ่าสัตว์
๔. พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
๒. อาบัติ คืออะไร ? มีโทษกี่สถาน ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ มี ๓ สถาน ฯ
คือ อย่างหนัก ยังผู้ต้องให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
อย่างกลาง ยังผู้ต้องให้อยู่กรรม คือประพฤติวัตรอย่างหนึ่งเพื่อทรมานตน
อย่างเบา ยังผู้ต้องให้ประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกัน ฯ
๓. สิกขา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : คือ ข้อที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ
มี ๑. ศีล ความรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย
๒. สมาธิ ความรักษาใจมั่น
๓. ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร ฯ
๔. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง ? น้ำตาลทรายจัดเข้าในเภสัชประเภทใด ?
ตอบ : เภสัช ๕ มี เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ
น้ำตาลทราย จัดเข้าในน้ำอ้อย ฯ
๕. ผ้าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. สังฆาฏิ (ผ้าคลุม)
๒. อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)
๓. อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ฯ
๖. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกันกับสามเณร จะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : นอนได้ ๓ คืน ไม่เป็นอาบัติ เกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๗. ภิกษุซ่อนบาตร จีวร ร่ม และรองเท้าของเพื่อนภิกษุ เพื่อล้อเล่นต้องอาบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ : ซ่อนบาตร จีวร ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ซ่อนร่ม รองเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๘. เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่เอื้อเฟื้อในเสขิยวัตรนั้นต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : คือ วัตรหรือธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๙. ในการรับบิณฑบาต ภิกษุพึงปฏิบัติอย่างไรจึงถูกต้องตามเสขิยวัตร ? จงตอบมาเพียง ๒ ข้อ
ตอบ : รับโดยเคารพ แลดูแต่ในบาตร รับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก รับแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)
๑๐. ภิกษุเถียงกันด้วยเรื่องอะไร จึงเรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ ?
ตอบ : เถียงกันด้วยเรื่อง สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัยเป็นต้น ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๐
๑. นิสสัย และ อกรณียกิจ คืออะไร ? ทั้ง ๒ อย่างรวมเรียกว่าอะไร ?
ตอบ : นิสสัย คือ ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต
อกรณียกิจ คือ กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ ฯ
ทั้ง ๒ อย่าง รวมเรียกว่า อนุศาสน์ ฯ
๒. อาบัติคืออะไร ? อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ ๖ อย่างนั้น อย่างไหนเสียหายมากที่สุด ?
ตอบ : คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ
ต้องด้วยไม่ละอาย จัดว่าเสียหายมากที่สุด ฯ
๓. สิกขา กับ สิกขาบท ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ต่างกันอย่างนี้
สิกขา ได้แก่ข้อที่ควรศึกษา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
สิกขาบท ได้แก่พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ ฯ
๔. พูดอย่างไรเรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ?
ตอบ : พูดอวดคุณพิเศษอันยิ่งของมนุษย์ คือพูดว่าข้าพเจ้าได้ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล เรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ฯ
๕. อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้วยอาบัติไม่มีมูล เป็นอาบัติอะไร ?
ตอบ : กำหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑ ไม่ได้ยิน ๑ ไม่ได้รังเกียจ ๑ ว่าภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ
โจทด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส
โจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสส ต้องปาจิตตีย์
โจทด้วยอาบัติอื่นจากนี้ ต้องปาจิตตีย์ ในสัมปชานมุสาวาทสิกขาบท ฯ
๖. คำว่า มาตุคาม ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๒ และ ๓ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ในสิกขาบทที่ ๒ หมายรวมทั้งหญิงที่รู้เดียงสาและไม่รู้เดียงสา โดยที่สุดแม้เกิดในวันนั้น
ส่วนในสิกขาบทที่ ๓ หมายเฉพาะหญิงที่รู้เดียงสาแล้วเท่านั้น ฯ
๗. ภิกษุต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ หรืออาบัติปาจิตตีย์ มีวิธีแสดงอาบัติต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องเสียสละวัตถุอันเป็นเหตุให้ต้องอาบัตินั้นเสียก่อน จึงแสดงอาบัติได้ ส่วนอาบัติปาจิตตีย์นั้น ภิกษุพึงแสดงอาบัติได้เลย ไม่มีวัตถุใด ๆ ที่ต้องสละ ฯ
๘. ในปาจิตตีย์ ภิกษุต้องอาบัติเพราะพูดเรื่องจริง มีหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ : มี ฯ เพราะบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบันตามสิกขาบทที่ ๘ แห่งมุสาวาทวรรคและเพราะบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ตามสิกขาบทที่ ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
๙. การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
ตอบ : คือ นุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมาเพียงครึ่งแข้ง ไม่คลุมข้อเท้า ฯ
๑๐. ภิกษุฉันพลางพูดพลาง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : พูดทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในปาก ต้องอาบัติทุกกฏ พูดไม่มีอาหารอยู่ในปาก ไม่ต้องอาบัติ ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๙
๑. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : เรียกว่า อกรณียกิจ มี ๔ อย่าง คือ
๑) เสพเมถุน ๒) ลักทรัพย์
๓) ฆ่าสัตว์ ๔) พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
๒. อาบัติคืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ ๖ อย่างนั้น อย่างไหนเสียหายมากที่สุด ?
ตอบ : คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ ต้องด้วยไม่ละอาย เสียหายมากที่สุด เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นอาบัติยังกล้าล่วงละเมิดด้วยใจด้านไม่รู้จักละอาย ฯ
๓. ภิกษุปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาดีแล้ว จะได้รับประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ : ได้รับประโยชน์อย่างนี้
๑) มีศีลดีแล้ว ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแช่มชื่นว่าได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ภิกษุผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน
๒) มีสมาธิดีแล้ว ทำให้จิตใจแน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามโลกธรรม
๓) มีปัญญาดีแล้ว ทำให้สามารถนำพาตนให้พ้นจากทุกข์ได้ ฯ
๔. ปาราชิกทั้ง ๔ สิกขาบท เป็นสจิตตกะหรืออจิตตกะ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ : เป็นสจิตตกะ เพราะมีเจตนาล่วงละเมิดจึงเป็นอาบัติ ฯ
๕. ภิกษุทำคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ามีเจตนา ทำมนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ทำอมนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ถ้าไม่มีเจตนา ไม่ต้องอาบัติ ฯ
๖. ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องอนุปสัมบันต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัติดังนี้
๑) จับต้องกายหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๒) จับต้องกายกะเทย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓) จับต้องกายบุรุษ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๗. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตนต้องอาบัติอะไร ? ลาภนั้น ได้แก่อะไรบ้าง ?
ตอบ : ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
ลาภนั้นได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช บริขารจนกระทั่งถึงด้ายชายผ้า ก้อนแห่งจุณ หรือไม้ชำระฟัน ฯ
๘. ผ้าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๓ อย่าง คือ
๑) สังฆาฏิ (ผ้าคลุม)
๒) อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)
๓) อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ฯ
๙. พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพูดอย่างนั้นต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : การพูดโดยการนำเอาคำของภิกษุรูปหนึ่งไปบอกอีกรูปหนึ่ง ด้วยเจตนาจะให้เขารัก หรือให้เขาแตกกัน ด้วยวัตถุ ๑๐ ประการ มีชาติ ชื่อ และโคตร เป็นต้น ชื่อว่าพูดส่อเสียดภิกษุ ฯ
ถ้าพูดเหน็บแนมโดยตรง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าพูดเปรย ๆ เหน็บแนม ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๑๐. เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่ปฏิบัติตาม ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : คือธรรมเนียมหรือวัตรที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๘
๑. พระวินัย คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินัยแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร ?
ตอบ : คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ ได้อานิสงส์ คือ ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับความแช่มชื่นว่าได้ประพฤติดีงาม จะเข้าหมู่ภิกษุผู้มีศีลก็องอาจไม่สะทกสะท้าน ฯ
๒. ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตเรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : เรียกว่า นิสสัย ฯ มี ๔ อย่าง ฯ คือ
๑. เที่ยวบิณฑบาต
๒.นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๓. อยู่โคนต้นไม้
๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ
๓. สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์มีเท่าไร ? สิกขาบทว่าด้วยปาราชิกมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ มี
๑. เสพเมถุน
๒. ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก
๓. ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย
๔. ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ฯ
๔. ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสก ขึ้นไปเป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ
๕. ภิกษุโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกอย่างไร ภิกษุผู้โจทก์จึงต้องอาบัติสังฆาทิเสส ?
ตอบ : ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล และภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลศโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ฯ
๖. ภิกษุประพฤติอย่างไร ชื่อว่าประทุษร้ายตระกูล ?
ตอบ : ประจบคฤหัสถ์ ฯ
๗. พระพุทธองค์ทรงอนญุาตให้ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ได้ในสมัยใดบ้าง ?
ตอบ : ในสมัยที่ภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย ฯ
๘. ภิกษุนำเก้าอี้ของสงฆ์ไปใช้ในที่แจ้ง เมื่อหลีกไปจากที่นั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ? ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : พึงเก็บเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายแก่ผู้อื่น ฯ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๙. ในการรับบิณฑบาต ภิกษุพึงปฏิบัติอย่างไรจึงถูกต้องตามเสขิยวัตร ? จงตอบมาเพียง ๒ ข้อ
ตอบ : รับโดยเคารพ แลดูแต่ในบาตร รับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก รับแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)
๑๐. การเถียงกันด้วยเรื่องอะไรจึงจัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ ?
ตอบ : การเถียงกันว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๗
๑. สิกขา และ สิกขาบท ได้แก่อะไร ?
ตอบ : สิกขา ได้แก่ข้อที่ควรศึกษา สิกขาบท ได้แก่พระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ ฯ
๒. อาบัติ คืออะไร ? ว่าโดยชื่อมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : อาบัติ คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ มี
๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย ๔. ปาจิตตีย์
๕. ปาฏิเทสนียะ ๖. ทุกกฏ ๗. ทุพภาสิต ฯ
๓. จงอธิบายความหมายของอาบัติต่อไปนี้ ?
ก. สเตกิจฉา ข. สจิตตกะ
ตอบ : ก. ได้แก่อาบัติที่แก้ไขได้
ข. ได้แก่อาบัติที่ต้องเพราะมีเจตนา ฯ
๔. ภิกษุฆ่ามนุษย์ ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ฆ่ามนุษย์ ต้องอาบัติปาราชิก ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๕. สังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เช่นไร ?
ตอบ : สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ เช่น สัตว์ เงิน ทอง เป็นต้น ฯ
อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน ต้นไม้ เรือน เป็นต้น ฯ
๖. ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกายอนุปสัมบัน ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : อนุปสัมบันเป็นหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
อนุปสัมบันเป็นบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
อนุปสัมบันเป็นชาย ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๗. อติเรกจีวร และผ้าจำนำพรรษา ได้แก่ผ้าเช่นไร ?
ตอบ : อติเรกจีวร ได้แก่ผ้ายาว ๘ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้วขึ้นไป พอใช้ประกอบเข้าเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ นอกจากผ้าที่อธิษฐาน
ผ้าจำนำพรรษา ได้แก่ผ้าที่ทายกถวายแก่ภิกษุผู้ปวารณาออกพรรษาแล้ว ฯ
๘. เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ?
ตอบ : ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ
๙. วัตรที่ภิกษุสามเณรจะต้องศึกษา เรียกว่าอะไร ? มีทั้งหมดกี่ข้อ ?
ตอบ : เรียกว่าเสขิยวัตร ฯ มี ๗๕ ข้อ ฯ
๑๐. อธิกรณ์ อธิกรณสมถะ คืออะไร ?
ตอบ : อธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ
อธิกรณสมถะ คือธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๖
๑. อกรณียกิจ คือกิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๔ อย่าง คือ
๑) เสพเมถุน ๒) ลักของเขา
๓) ฆ่าสัตว์ ๔) พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ฯ
๒. อาบัติ คืออะไร อาการที่ภิกษุต้องอาบัติมี ๖ อย่าง จงบอก มาสัก ๓ อย่าง ฯ
ตอบ : คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)
๑) ต้องด้วยไม่ละอาย
๒) ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
๓) ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
๔) ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕) ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖) ต้องด้วยลืมสติ ฯ
๓. ภิกษุพยายามฆ่าตนเอง แต่ทำไม่สำเร็จ จะต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๔. ข้อความว่า ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ตามสิกขาบทที่ ๕ แห่งสังฆาทิเสสนั้น หมายถึงการทำอย่างไร ?
ตอบ : หมายถึงการที่ภิกษุบอกความประสงค์ของชายแก่หญิง หรือบอกความประสงค์ของหญิงแก่ชายในความเป็นผัวเมีย ฯ
๕. ไตรจีวร อติเรกจีวร ได้แก่จีวรเช่นไร ?
ตอบ : ไตรจีวร ได้แก่จีวร ๓ ผืน ประกอบด้วย อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) และสังฆาฏิ (ผ้าคลุมหรือผ้าทาบ) ฯ
อติเรกจีวร ได้แก่ผ้ามีขนาดกว้าง ๔ นิ้ว ยาว ๘ นิ้ว ซึ่งอาจนำไปทำเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ นอกจากผ้าที่อธิษฐาน ฯ
๖. ภิกษุขอจีวรต่อสามีของน้องสาวแล้วได้มา เธอจะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสามีของน้องสาวเป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติแต่ปวารณาก็ดี ไม่ต้องอาบัติ
ถ้ามิใช่ญาติและมิได้ปวารณา เป็นเพียงน้องเขย ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย (คือในเวลาจีวรถูกขโมยหรือเสียหาย) ฯ
๗. มีผู้นำอาหารบิณฑบาตมาถวายแก่สงฆ์ ภิกษุแนะนำให้ถวายแก่ตนเองและได้มา เช่นนี้จะต้องอาบัติหรือไม่ ถ้าต้อง จะต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัติ ฯ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
๘. เสขิยวัตร คืออะไร โภชนปฏิสังยุตว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ : คือวัตรหรือธรรมเนียมที่ภิกษุจำต้องศึกษา ฯ
ว่าด้วยเรื่องการรับและการฉันอาหาร ฯ
๙. ภิกษุไม่เอื้อเฟื้อในเสขิยวัตร ปฏิบัติผิดธรรมเนียมไป ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๑๐. ภิกษุเถียงกันด้วยเรื่องอะไร จึงเรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ ?
ตอบ : เถียงกันด้วยเรื่องสิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม
ไม่ใช่วินัย ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๕
๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่ามีศีล ?
ตอบ : ภิกษุสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย เว้นข้อที่ทรงห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาตชื่อว่ามีศีล ฯ
๒. นิสสัย ๔ ในอนุศาสน์ ๘ อย่าง หมายถึงอะไร มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : หมายถึง ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรชิต มี
๑.เที่ยวบิณฑบาต ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๓.อยู่โคนไม้ ๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ
๓. อเตกิจฉา และสเตกิจฉา ได้แก่อาบัติอะไร ทั้ง ๒ อย่างนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว จะเกิดโทษอย่างไร ?
ตอบ : อเตกิจฉา ได้แก่อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ คืออาบัติปาราชิก สเตกิจฉา ได้แก่อาบัติที่ยังแก้ไขได้ คืออาบัติสังฆาทิเสสเป็นต้น ภิกษุต้องอาบัติที่เป็นอเตกิจฉาเข้าแล้ว ขาดจากความเป็นภิกษุ
ต้องอาบัติที่เป็นสเตกิจฉา กล่าวคืออาบัติสังฆาทิเสสเข้าแล้วพึงอยู่กรรมจึงพ้นได้ ต้องอาบัติอีก ๕ อย่างที่เหลือ พึงแสดงต่อหน้าสงฆ์หรือคณะหรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง จึงพ้นได้ ฯ
๔. ภิกษุจับต้องกายมารดาในเวลาพยาบาลไข้ด้วยจิตกตัญญู ปรับเป็นอาบัติทุกกฎผิดหรือถูก เพราะเหตุไร ?
ตอบ : ปรับเป็นอาบัติทุกกฎถูกต้องแล้ว เพราะกายมารดาเป็นวัตถุอนามาส คือเป็นสิ่งที่ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุจับต้อง แม้เป็นกายมารดาของตนก็ไม่มีกายยกเว้น ฯ
๕. อติเรกจีวร อติเรกบาตร ได้แก่จีวรและบาตรเช่นไร จีวรและบาตรชนิดนี้ ภิกษุเก็บไว้ได้กี่วัน ?
ตอบ : ได้แก่ จีวรและบาตรนอกจากจีวรและบาตรที่อธิษฐาน เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ฯ
๖. ภิกษุนำเก้าอี้ของสงฆ์ไปใช้ในที่กลางแจ้งแล้ว เมื่อจะหลีกไป พึงปฏิบัติอย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เก็บเอง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายแก่ผู้อื่น ถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๗. ภิกษุขอปัจจัย ๔ ต่อผู้ที่ปวารณาไว้ มีพระพุทธานุญาตให้ปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ให้ปฏิบัติดังนี้ ถ้าเขาปวารณาโดยมีกำหนดเวลา พึงขอได้เพียงกำหนดเวลานั้น แต่ถ้าเขาปวารณาโดยไม่ได้กำหนดเวลา พึงขอได้เพียง ๔ เดือนเท่านั้น เว้นไว้แต่เขาปวารณา อีก หรือปวารณาเป็นนิตย์ ฯ
๘. ภิกษุเข้าบ้านโดยไม่ได้บอกลาภิกษุอื่นผู้มีอยู่ในอาวาสต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? จงอธิบาย
ตอบ : ถ้าเข้าบ้านในเวลาที่เป็นกาล คือตั้งแต่เช้าถึงเวลาก่อนเที่ยงวัน ไม่ต้องอาบัติ ถ้าเข้าบ้านในเวลาวิกาล คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีกิจด่วน (หรือผู้อยู่ในนิสสัย) ฯ
๙. ภิกษุนั่งในบ้านพูดเสียงดังจะต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
๑๐. ในเสขิยวัตรมีสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมโดยอนุโลมไว้อย่างไร ?
ตอบ : ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุผู้ไม่เป็นไข้ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ และบ้วนเขฬะลงในของเขียว และในน้ำ ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๔
๑. พระภิกษุผู้รักษาพระวินัยดีโดยถูกทางแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร ?
ตอบ : ย่อมได้อานิสงส์ คือ ความไม่ต้องเดือดร้อนใจ ฯ
๒. สิกขา สิกขาบท และอาบัติ ได้แก่อะไร ?
ตอบ : สิกขา ได้แก่ ข้อที่ภิกษุควรศึกษา มี ๓ อย่าง คือสิลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา สิกขาบท ได้แก่ พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ อาบัติ ได้แก่ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ
๓. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ต้องด้วยไม่ลาย ๑ ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ ๑ ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำ ๑ ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ ต้องด้วยลืมสติ ๑ ฯ
๔. ครุกาบัติ ที่แก้ไขได้ก็มี ที่แก้ไขไม่ได้ก็มี ที่แก้ไขได้ได้แก่อาบัติอะไร ที่แก้ไขไม่ได้ได้แก่อาบัติอะไร ?
ตอบ : ที่แก้ไขได้ ได้แก่อาบัติสังฆาทิเสส, ที่แก้ไขไม่ได้ ได้แก่อาบัติปาราชิก ฯ
๕. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก ฆ่าอมนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฆ่าสัตว์เดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๖. ไตรจีวรประกอบด้วยผ้าอะไรบ้าง ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร ต้องปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ประกอบด้วย ผ้าสังฆาฏิ ผ้าอุตตราสงค์ และผ้าอันตรวาสก ฯ ต้องสละไตรจีวรผืนที่อยู่ปราศจากนั้น แล้วแสดงอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อได้รับผ้ากลับคืนมาแล้ว ต้องอธิษฐานใหม่ ฯ
๗. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ?
๑) อติเรกจีวร ๒) จีวรกาล ๓) อนุปสัมบัน
ตอบ : ๑) อติเรกจีวร หมายถึง จีวรที่ไม่ใช่จีวรอธิษฐาน
๒) จีวรกาล หมายถึง คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร (คืออยู่จำพรรษาแล้ว ถ้าไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วันปวารณาไป ๑ เดือน ถ้าได้กรานกฐิน เพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนในฤดูหนาว)
๓) อนุปสัมบัน หมายถึงบุคคลที่มิใช่ภิกษุ ฯ
๘. เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้กี่วันเป็นอย่างยิ่ง ?
ตอบ : ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ เก็บไว้ได้ ๗ วัน ฯ
๙. ภิกษุฉันพลางทำกิจอื่นพลาง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
๑๐. อธิกรณ์คืออะไร การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมาก เรียกว่าอะไร ?
ตอบ : คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ เรียกว่าเยภุยยสิกา ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๓
๑. พระวินัย ได้แก่อะไร สิกขาบทที่เป็นอเตกิจฉา คือที่ภิกษุล่วงละเมิดแล้วไม่สามารถจะแก้ไขได้ ได้แก่อะไร ?
ตอบ : ได้แก่ พระพุทธบัญญัติ และอภิสมาจาร ฯ ได้แก่ ปาราชิก ๔ ฯ
๒. นิสสัย คืออะไร มีเท่าไร อะไรบ้าง ?
ตอบ : คือ ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต ฯ มี ๔ อย่างฯ คือ ๑. เที่ยวบิณฑบาต ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๓.อยู่โคนไม้ ๔ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ
๓. อาบัติว่าโดยชื่อมีกี่อย่าง อะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๗ อย่าง คือ
๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย ๔. ปาจิตตีย์
๕. ปาฏิเทสียะ ๖. ทุกกฎ ๗.ทุพภาสิต ฯ
๔. ภิกษุโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติไม่มีมูล เป็นอาบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ : โจทด้วยอาบัติปาราชิก เป็นอาบัติสังฆาทิเสส โจทด้วยอาบัตินอกนี้ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๕. ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ภิกษุอยู่ปราศจากแม้คืนหนึ่งต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : มี สังฆาฏิ คือผ้าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม และอันตรวาสก คือผ้านุ่ง ฯ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ
๖. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตนเพื่อบุคคลอื่น เพื่อเจดีย์ เพื่อสงฆ์หมู่อื่น จะเป็นอาบัติอะไรได้บ้าง ?
ตอบ : น้อมมาเพื่อตน เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ น้อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็นอาบัติปาจิตตีย์, น้อมมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมู่อื่น เป็นอาบัติทุกกฎ ฯ
๗. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกันกับสามเณร จะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : นอนได้ ๓ คืน ไม่เป็นอาบัติ เกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๘. ภิกษุ ก อาพาธ ได้รับคำแนะนำให้ฉันอาหารในเวลาวิกาลเพื่อช่วยให้หายป่วยเร็ว แล้วฉันตามคำแนะนำนั้น มีวินิจฉัยตามพระวินัยอย่างไร ?
ตอบ : มีวินิจฉัยว่า ภิกษุ ก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๙. เสขิยวัตร คืออะไร แบ่งเป็นกี่หมวด หมวดที่ ๒ ว่า ด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ : คือ ธรรมเนียมหรือวัตรที่ภิกษุพึงศึกษา แบ่งเป็น ๔ หมวด ว่าด้วยเรื่อง โภชนปฏิสังยุต คือธรรมเนียมว่าด้วยเรื่องการขบฉัน ฯ
๑๐. ข้อว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ นั้นมีอธิบายอย่างไร?
ตอบ : มีอธิบายว่า รับโดยแสดงความเอื้อเฟื้อในบุคคลผู้ให้ไม่ดูหมิ่น และให้แสดงความเอื้อเฟื้อในของที่เขาให้ ไม่ทำดังรับเอามาเล่นหรือเอามาทิ้งเสีย ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. พุทธบัญญัติและอภิสมาจาร คืออะไร ทั้ง ๒ รวมเรียกว่าอะไร ?
ตอบ : พุทธบัญญัติ คือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้นเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง ส่วนอภิสมาจาร คือ ขนบธรรมเนียม ที่ทรงแต่งตั้งขึ้นเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ ทั้ง ๒ นี้รวมเรียกว่า พระวินัย ฯ
๒. อาบัติ คืออะไร อาบัติที่เป็นโลกวัชชะ และที่เป็นปัณณัตติวัชชะ หมายความว่าอย่างไร ? จงยกตัวอย่างประกอบด้วย
ตอบ : คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ อาบัติที่เป็นโลกวัชชะ หมายความว่า อาบัติที่มีโทษซึ่งภิกษุทำเป็นความผิดความเสีย คนสามัญทำก็เป็นความผิดความเสียเหมือนกัน เช่น ทำโจรกรรม เป็นต้น ส่วนที่เป็นปัณณัตติวัชชะ หมายความว่า อาบัติที่มีโทษเฉพาะภิกษุทำ แต่คนสามัญทำไม่เป็นความผิดความเสีย เช่น ขุดดิน เป็นต้น ฯ
๓. สิกขากับสิกขาบท ต่างกันอย่างไร อย่างไหนมีเท่าไร อะไรบ้าง ?
ตอบ : สิกขา คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา มี ๓ ได้แก่ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ส่วนสิกขาบท คือ พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ มี ๒๒๗ สิกขาบท ได้แก่ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ และอธิกรณสมถะ ๗ ฯ
๔. คำว่า อาบัติที่ไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติไม่มีมูลต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : กำหนดโดยอาการ ๓ คือไม่ได้เห็นเอง ๑ ไม่ได้ยินเอง ๑ ไม่ได้เกิดรังเกียจสงสัย ๑ ว่าภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ โจทด้วยอาบัติปาราชิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส โจทด้วยอาบัติอื่นจากอาบัติปาราชิก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๕. ในสิกขาบทที่ ๒ แห่งอาบัติปาราชิก ทรัพย์เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก อาบัติถุลลัจจัย และอาบัติทุกกฏ มีกำหนดราคาไว้เท่าไร ?
ตอบ : มีกำหนดราคาไว้ดังนี้ ทรัพย์ มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก, ทรัพย์ มีราคาไม่ถึง ๕ มาสกแต่มากกว่า ๑ มาสก เป็นเหตุให้ต้องอาบัติถุลลัจจัย, ทรัพย์ มีราคา ตั้งแต่ ๑ มาสกลงมา เป็นเหตุให้ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
๖. ผ้าไตรครอง มีอะไรบ้าง ต่างจากอติเรกจีวรอย่างไร ?
ตอบ : มี สังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ฯ ต่างกันอย่างนี้ ผ้าไตรครองเป็นผ้าที่ภิกษุอธิษฐาน มีจำนวนจำกัด คือ ๓ ผืน ส่วนอติเรกจีวร คือผ้าที่นอกเหนือจากผ้าไตรครองมีได้ไม่จำกัดจำนวน ฯ
๗. พระ ก นำเบียร์มาให้พระ ข ดื่ม โดยหลอกว่าเป็นน้ำอัดลม พระ ข หลงเชื่อจึงดื่มเข้าไป ถามว่าพระ ก และพระ ข ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : พระ ก เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะพูดปด พระ ข เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มน้ำเมา แม้ไม่รู้ก็ต้องอาบัติ เพราะสิกขาบทนี้เป็นอจิตตกะ ฯ
๘. ภิกษุนำตั่งของสงฆ์ไปตั้งใช้ในที่แจ้ง จะหลีกไปสู่วัดอื่นต้องทำอย่างไร จึงจะไม่เป็นอาบัติ ?
ตอบ : ต้องเก็บด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายให้ผู้อื่น จึงจะไม่เป็นอาบัติ ฯ
๙. ลักษณะการประเคนประกอบด้วยองค์อะไรบ้าง การช่วยกันยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนก็ดี การจับผ้าปูโต๊ะประเคนก็ดีทั้ง ๒ วิธีถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุไร ?
ตอบ : ประกอบด้วยองค์ต่อไปนี้
๑. ของที่จะพึงประเคนนั้นไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป พอคนปานกลางยกได้คนเดียว
๒. ผู้ประเคนเข้ามาอยู่ในหัตถบาส
๓. เขาน้อมเข้ามา
๔. กิริยาที่น้อมเข้ามาให้นั้น ด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ ด้วยโยนให้ก็ได้
๕. ภิกษุรับด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ ฯ ไม่ถูกทั้ง ๒ วิธี เพราไม่ต้องลักษณะองค์ประเคน คือ การช่วยกันยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๑ การจับผ้าปูโต๊ะประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๓ ฯ
๑๐. อธิกรณ์ คืออะไร เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ ต้องระงับด้วอธิกรณสถะอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่อธิกรณ์นั้น ๆ ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๑
๑. อรณียกิจ ๔ คืออะไร ? ข้อที่ ๓ ว่าอย่างไร ?
ตอบ : คือ กิจที่ไม่ควรทำ ๔ ฯ ว่า ฆ่าสัตว์ ฯ
๒. อะไรเรียกว่า สิกขาบท มาจากไหน ?
ตอบ : พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ เรียกว่า สิกขาบท ฯ มาในพระปาติโมกข์ ๑ มานอกพระปาติโมกข์ ๑ ฯ
๓. สังฆาทิเสส มีกี่สิกขาบท ? ภิกษุต้องอาบัตินี้จะพ้นได้ด้วยวิธีอย่างไร ?
ตอบ : มี ๑๓ สิกขาบท ฯ ด้วยวิธีอยู่กรรม ที่เรียกว่า วุฏฐานคามินี ฯ
๔. เภสัช ๕ ในปัตตวรรคที่ ๓ ได้แก่อะไรบ้าง รับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้กี่วัน ?
ตอบ : ได้แก่ เนยใน เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ เก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน เป็นอย่างยิ่งฯ
๕. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับอนุปสัมบัน เป็นอาบัติหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นผู้ชาย เกินกว่า ๓ คืน เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเป็นผู้หญิง แม้ในคืนแรก เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๖. ภิกษุซ่อนผ้าอาบน้ำฝน บาตร จีวร กล่องเข็ม ด้ายของเพื่อนภิกษุหรือสามเณรเพื่อล้อเล่น เป็นอาบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ : ซ่อนผ้าอาบน้ำฝน ด้าย ของเพื่อนภิกษุ เป็นอาบัติทุกกฎ ซ่อนบาตร จีวร กล่องเข็ม ของเพื่อภิกษุ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ซ่อนของสามเณรทุกอย่าง เป็นทุกกฎ ฯ
๗. คำว่า ปวารณากำหนดปัจจัย หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : หมายความว่า ปวารณาที่กำหนดชนิดสิ่งของ เช่น จีวร หรือบิณฑบาตเป็นต้น หรือกำหนดจำนวนสิ่งของ เช่น ผ้ากี่ผืน บิณฑบาตมีราคาเท่าไร เป็นต้น ฯ
๘. เสขิยวัตร คืออะไร มีทั้งหมดกี่ข้อ ?
ตอบ : คือ ธรรมเนียมหรือวัตรที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ มี ๗๕ ข้อ ฯ
๙. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ต่างอันอย่างไร ?
ตอบ : วิวาทาธิกรณ์ คือการเถียงว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ส่วนอนุวาทาธิกรณ์ คือการโจทกันด้วยอาบัติ ฯ
๑๐. อธิกรณสมถะ คืออะไร มีกี่อย่าง การตัดสินตามเสียงข้างมาก เรียกว่าอะไร ?
ตอบ : คือ ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ ฯ มี ๗ อย่าง ฯ เรียกว่า เยภุยยสิกา ฯ
นักธรรม ชั้นตรี
ปัญหาและเฉลย วิชา วินัยมุข
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๐
๑. พระศาสดาทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพื่ออะไร ?
ตอบ : เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายของภิกษุสงฆ์ และเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุให้ดีงาม ฯ
๒. สิกขาบทที่มีในพระปาติโมกข์ มีเท่าไร ว่าโดยหมวดมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : มี ๒๒๗ สิกขาบท มี ปาราชิก ๔, สังฆาทิเสส ๑๓, อนิยต ๒, นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐, ปาจิตตีย์ ๙๒, ปาฏิเทสนียะ ๔, เสขิยะ ๗๕, อธิกรณสมถะ ๗ ฯ
๓. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มีเท่าไร ต้องด้วยไม่ละอาย มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ : มี ๖ อย่าง ภิกษุรู้อยู่แล้ว และละเมิดพระบัญญัติด้วยใจด้านไม่รู้จักละอาย ชื่อว่าต้องด้วยไม่ละอาย ฯ
๔. เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : พึงบอกภิกษุด้วยกันในวันนั้น และพึงแก้ไขตามวิธีนั้น ๆ ฯ
๕. สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์เช่นไร ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดในเพราะลักทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้นเมื่อใด ?
ตอบ : สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ อสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ฯ สำหรับสังหาริมทรัพย์ ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่จากเดิม ส่วนอสังหาริมทรัพย์ จะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อเจ้าของทอดกรรมสิทธิ์ ฯ
๖. ภิกษุรู้ตัวว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส จึงแสดงอาบัตินั้นต่อภิกษุอีกรูปหนึ่ง อย่างนี้จะพ้นจากอาบัตินั้นหรือไม่ เพราะเหตุไร ?
ตอบ : พ้นไม่ได้ เพราะอาบัติสังฆาทิเสสนั้น ภิกษุผู้ต้องจะพ้นได้ด้วยอยู่กรรม ฯ
๗. ที่ลับตากับที่ลับหู ต่างกันอย่างไร ? ที่ลับทั้ง ๒ นั้น เป็นทางให้ปรับอาบัติได้มากน้อยกว่ากันอย่างไร ?
ตอบ : ต่างกันอย่างนี้ ที่ที่มีสิ่งกำบัง เห็นกันไม่ได้ เรียกว่าที่ลับตา, ที่ที่ไม่มีสิ่งกำบังเห็นกันได้ แต่ฟังเสียงพูดกันไม่ได้ยิน เรียกว่าที่ลับหู ฯ ที่ลับตา เป็นทางให้ปรับอาบัติได้มากกว่า คือตั้งแต่ปาราชิก สังฆาทิเสส ถึงปาจิตตีย์ ส่วนที่ลับหู เป็นทางให้ปรับอาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา ฯ
๘. ภิกษุรับนิมนต์แล้ว จะไปที่อื่นก่อนหรือหลังฉัน ต้องปฏิบัติอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ : ต้องปฏิบัติอย่างนี้ คือ ต้องบอกลาภิกษุอื่นก่อน ฯ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๙. ผ้าอาบน้ำฝนที่กำหนดขนาดไว้เท่าใด ถ้าทำเกินกว่าขนาดนั้นต้องอาบัติ ก่อนจะแสดงอาบัตินั้น ต้องำทอย่างไร?
ตอบ : ยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง โดยคือรพระสุคต ฯ ต้องตัดให้ได้ขนาดเสียก่อน ฯ
๑๐. หมวดสารูปในเสขิยวัตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ข้อว่า “ไม่เอามือค่ำกาย นั่งในบ้าน” คือไม่ทำอย่างไร ?
ตอบ : ว่าด้วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน ฯ คือไม่นั่งเท้าแขนข้างเดียวก็ตาม สองข้างก็ตามในบ้าน ฯ