![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๖
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. บุคคลเช่นไรชื่อว่าติดอยู่่ในโลก ? ผู้ติดอยู่่ในโลกจะได้รับลอย่างไร ?
ตอบ :บุคคลผู้ไร้พิจารณ์ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ หลงระเริงจนเกินพอดีีในสิ่งอันอาจให้้โทษ และติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่าหมกอยู่่ในโลก ฯ
ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุข ก็เป็นเพียงสามิสสุข คือ มีีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฯ
๒. คำว่า มารและบ่่วงแห่งมาร หมายถึงอะไร ?
ตอบ :คำว่า มาร หมายถึงกิเลสกาม คือเจตสิกอันเศร้าหมอง ชวนให้้ใคร่่ ได้้แก่่ ตัณหา ราคะ และอรติิ เป็นต้น
คำว่า บ่่วงแห่งมาร หมายถึงวัตถุุกาม ได้้แก่่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ฯ
๓. คำว่า มะทะนิมมะทะโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง หมายถึงความเมาในอะไร ?
ตอบ :หมายถึงความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ชาติิ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็็ดี เยาว์์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ก็็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ
๔. วัฏฏะ ในคำว่า วัฏฏูปัจเฉโท นั้น หมายถึงอะไร ? และตัดวัฏฏะได้อย่างไร ?
ตอบ :หมายถึง ความเวียนเกิดเวียนตายด้วยอำนาจกิเลส กรรมและวิบาก ฯ
ตัดด้วยอาการที่ละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ
๕. โลกามิส คืออะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ตอบ :คือกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ
เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลกดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฉะนั้น ฯ
๖. คติ คืออะไร ? สัตว์โลกตายไปแล้ว มีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอบ :คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายแล้ว ฯ
มีคติเป็น ๒ คือ
๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึงเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ
๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ ฯ
๗. ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับอานิสงส์อะไรบ้าง ? จงตอบมา ๓ ประการ
ตอบ :ได้รับอานิสงส์อย่างนี้
๑. หลับอยู่ก็เป็นสุข
๒. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข
๓. ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
๖. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
๗. ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายไม่อาจประทุษร้าย
๘. จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็วพลัน
๙. ผิวพรรณย่อมผ่องใสงดงาม
๑๐. ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ
๑๑. เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีก ก็ย่อมเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ
๘. สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้ผลต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :ให้ผลต่างกันดังนี้
สมถกัมมัฏฐาน ให้ผลอย่างต่ำ คือทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูงคือทำให้บรรลุุฌานต่าง ๆ มีปฐมฌาน เป็นต้น
วิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้ผลอย่างต่ำ คือทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูง คือทำให้บรรลุพระนิพพาน ฯ
๙. คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานใดบ้าง ?
ตอบ :มีนิสัยเชื่อง่ายโดยไม่พิจารณาถึงเหตุผล ฯ
ควรเจริญอนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวตานุสสติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ฯ
๑๐. อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้แก่อะไร ?
ตอบ :ได้แก่สังขารทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอุปาทินนกะและอนุปาทินนกะ (หรือธรรมในวิปัสสนาภูมิ คือขันธ์์ อายตนะ ธาตุ เป็นต้น) ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๕
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. นิพพิทาคืออะไร ? ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?
ตอบ :นิพพิทาคือความหน่ายในทุกข์ฯ
อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา ความหน่ายในทุกขขันธ์ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่น
อยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา ฯ
๒. อนิจจตา ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร กำหนดรู้ในทางง่ายได้ด้วยอาการอย่างไร ?
ตอบ :ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นไปในเบื้องปลาย ฯ
๓. ตัณหาเมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดที่ไหนและเมื่อดับย่อมดับที่ไหน ? ตัณหานั้นย่อมสิ้นไปเพราะธรรมอะไร ?
ตอบ :เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก เมื่อดับย่อมดับในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลกนั่นเอง ฯ
ย่อมสิ้นไปเพราะวิราคะคือพระนิพพาน ฯ
๔. ความหลุดพ้นอย่างไรเป็นสมุจเฉทวิมุตติ? จัดเป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ?
ตอบ :ความหลุดพ้นด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาด ได้แก่อริยมรรค ฯ
จัดเป็นโลกุตตระ ฯ
๕. สันติความสงบ เกิดขึ้นที่ใด ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ?
ตอบ :เกิดขึ้นที่ไตรทวาร คือ กาย วาจา ใจ ฯ
มีปฏิปทาที่จะดำเนิน คือ ปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้สงบจากโทษเวรภัย ด้วยการละโลกามิส คือกามคุณ ๕ ฯ
๖. ในส่วนสังสารวัฏฏ์ สัตวโลกตายแล้วมีคติคือที่ไปเป็นอย่างไร ? มีอุทเทสบาลีแสดงไว้อย่างไร ?
ตอบ :สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็น ๒ คือ สุคติและทุคติฯ มีอุทเทสบาลีแสดงว่า
จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ฯ
๗. สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้าง ? การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยความเป็นของปฏิกูล จัดเข้าในสติปัฏฐานข้อไหน ?
ตอบ :คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ
จัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ
๘. คนวิตกจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?
ตอบ :ชอบคิดฟุ้งซ่าน ตรึกตรองไม่ค่อยลง รู้เห็นไม่ตลอด นึกคิดเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ฯ
ควรเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ
๙. ท่านว่า ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนาปัญญา พึงรู้ฐานะ ๖ ก่อน ทั้ง ๖ ประการนั้นมีอะไรบ้าง ?
ตอบ :มี ๑. อนิจจะ สภาวะอันไม่เที่ยง
๒. อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง
๓. ทุกขะ สภาวะอันสัตว์ทนได้ยาก
๔. ทุกขลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์
๕. อนัตตา สภาวะอันไม่ใช่ตัวตน
๖. อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ฯ
๑๐. วิปัลลาสคืออะไร ? วัตถุที่วิปัลลาส มีอะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ กิริยาที่ถือเอาโดยอาการวิปริตผิดจากความจริง ฯ
มี ๔ อย่าง คือ
๑. วิปัลลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
๒. วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
๓. วิปัลลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
๔. วิปัลลาสในของที่ไม่งามว่างาม ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๔
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. อุทเทสว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้” โลกในที่นี้ หมายถึงอะไร ? คนมีลักษณะอย่างไรชื่อว่าติดอยู่ในโลก ?
ตอบ :หมายถึง โลก โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย ฯ
คนผู้ไร้วิจารณญาณไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ หลงระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ จนถอนตนไม่ออก ได้รับสุขบ้างทุกข์บ้าง แม้สุข ก็เป็นเพียงสามิสสุข สุขอันมีเหยื่อต่อใจเป็นเหตุให้ติด ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ
๒. ทุกข์ และ ทุกขลักขณะ เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? จงอธิบาย
ตอบ :ต่างกันคือ
ทุกข์ ได้แก่ปัญจขันธ์
ทุกขลักขณะ ได้แก่ปัญจขันธ์ที่ถูกเบียดเบียนถูกบีบคั้นจากเหตุปัจจัยอันเป็นข้าศึก เช่น ความเย็น ความร้อน เป็นต้น ฯ
๓. บุคคลจะพึงกําหนดรู้สังขารทั้งหลายโดยความเป็นอนัตตาด้วยอาการอย่างไรบ้าง ? ตอบมา ๒ ข้อ
ตอบ :ด้วยอาการอย่างนี้ คือ
๑. ด้วยไม่อยู่ในอํานาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา
๒. ด้วยแย้งต่ออัตตา
๓. ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้
๔. ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป
๕. ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฯ
๔. คําว่า วัฏฏูปัจเฉโท ธรรมอันเข้าไปตัดซึ่งวัฏฏะ วัฏฏะนั้นหมายถึงอะไร ? และตัดขาดได้อย่างไร ?
ตอบ :หมายถึง ความเวียนเกิดด้วยอํานาจ กิเลส กรรม วิบาก
ตัดขาดได้โดยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย
๕. โลกามิสคืออะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ตอบ :คือกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ
เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลกดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ
๖. คติ คืออะไร ? สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอบ :คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายแล้ว ฯ
มีคติเป็น ๒ คือ
๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ
๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ ๆ
๗. สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :ให้ผลต่างกันดังนี้ สมถะ ให้ผลอย่างต่ำทำให้ระงับนิวรณ์ได้ อย่างสูง ทำให้เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้
ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผล
พ้นจากสังสารทุกข์ ฯ
๘. คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?
ตอบ :มีนิสัยเชื่อง่าย ๆ ในถ้อยคําวาจาที่กล่าวดีและชั่ว ที่เป็นบุญและเป็นบาป เป็นต้น ฯ
ควรเจริญอนุสสติกัมมัฏฐาน 5 ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวตานุสสติ ฯ
๙. จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญพอเป็นตัวอย่าง ?
ตอบ :วิธีเจริญมุทิตานั้นดังนี้ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอยู่สุขสบาย เจริญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ จึงทําจิตใจให้ชื่นชม ยินดีแล้ว แผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญยั่งยืนด้วยสุขสมบัติยิ่งๆ เถิด เมื่อเจริญอยู่เนือง ๆ ย่อมได้รับ ผลดีคือจะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้ ฯ
๑๐. ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมใดบ้าง จึงจะกําจัดอภิชฌาและโทมนัสออกได้ ?
ตอบ :ต้องประกอบด้วยธรรม ๓ คือ
๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
๒. สัมปชาโน รู้ทั่วพร้อม
๓. สติมา มีสติ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๓
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. อนิจจตา ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร กําหนดรู้ในทางง่ายได้ด้วยอาการอย่างไร ?
ตอบ :ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ฯ
๒. คําว่า มาร และ บ่วงแห่งมาร หมายถึงอะไร ?
ตอบ :คําว่า มาร หมายถึงกิเลสกาม คือเจตสิกอันเศร้าหมอง ได้แก่ ตัณหา ราคะ และอรติ เป็นต้น
คําว่า บ่วงแห่งมาร หมายถึงวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ฯ
๓. ไวพจน์แห่งวิราคะ ได้แก่อะไรบ้าง ? เลือกตอบมา ๕ อย่าง
ตอบ :ได้แก่
มทนิมฺมทโน แปลว่า ธรรมยังความเมาให้สร่าง
ปิปาสวินโย แปลว่า ความนําเสียซึ่งความกระหาย
อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
วฏฺฏูปจฺเฉโท แปลว่า ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ
ตณฺหกฺขโย แปลว่า ความสิ้นแห่งตัณหา
วิราโค แปลว่า ความสิ้นกําหนัด
นิโรโธ แปลว่า ความดับ
นิพฺพานํ แปลว่า ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้ ฯ
๔. สันติ ความสงบ หมายถึงสงบอะไร ? ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละอะไร ?
ตอบ :หมายถึง สงบกาย วาจา ใจ ฯ
ท่านสอนให้ละโลกามิส คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ
๕. สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :ต่างกัน คือ
สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ฯ
๖. อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไว้เป็น ๔ อย่าง อะไรบ้าง ?
ตอบ :คือโลกที่ปราศจากความเจริญ ฯ
มีนิรยะ ติรัจฉานโยนิ ปิตติวิสยะ อสุรกาย ฯ
๗. สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้าง ? การกําหนดลมหายใจเข้าออก ชื่อว่าเจริญสติปัฏฐานข้อไหน ?
ตอบ :คือ
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ
ชื่อว่าเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ
๘. ในพระพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ :พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล ฯ
เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรงบําเพ็ญพุทธกิจให้สําเร็จประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ ฯ
๙. วิปัลลาสคืออะไร ? วัตถุที่วิปัลลาส มีอะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ กิริยาที่ถือเอาโดยอาการวิปริตผิดจากความจริง ฯ
มี ๔ อย่าง คือ
๑. วิปัลลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
๒. วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
๓. วิปัลลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
๔. วิปัลลาสในของที่ไม่งามว่างาม ฯ
๑๐. ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมใดบ้าง จึงจะกําจัดอภิชฌาและโทมนัสออกได้ ?
ตอบ :ต้องประกอบด้วยธรรม ๓ คือ
๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
๒. สัมปชาโน รู้ทั่วพร้อม
๓. สติมา มีสติ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๒
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. บุคคลเช่นไรชื่อว่าติดอยู่ในโลก ? ผู้ติดอยู่ในโลกจะได้รับผลอย่างไร ?
ตอบ :บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ระเริง จนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่าติดอยู่ในโลก ฯ
ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ด เกี่ยวไว้ ฯ
๒. นิพพิทาคืออะไร ? ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?
ตอบ :นิพพิทา คือความหน่ายในทุกข์ ฯ
อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลิน ไม่ยึดมั่น ไม่หมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา ฯ
๓. ทุกข์ประจำสังขารกับทุกข์จร ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่ต้องมีแก่คนทุกคน ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงพ้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย
ส่วนทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ประจวบด้วยคนหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากคนหรือสิ่งอันเป็น ที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สมหวัง ฯ
๔. คําว่า วัฏฏูปัจเฉโท ธรรมอันเข้าไปตัดซึ่งวัฏฏะ วัฏฏะนั้น หมายถึงอะไร ? และตัดขาดได้อย่างไร ?
ตอบ :หมายถึง ความเวียนเกิดด้วยอำนาจ กิเลส กรรม วิบาก ฯ
ตัดขาดได้โดยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ
๕. วิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?
ตอบ :ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ
สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ
๖. ธรรมอะไรพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นยอดแห่งสังขตธรรม ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ :อัฏฐังคิกมรรคเป็นยอดแห่งสังขตธรรม ฯ
เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฏฐังคิกมรรค ล้วนแต่เป็นธรรมที่ดี ยิ่งรวมกันเข้าทั้ง ๘ องค์ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียว นำไปถึงความดับทุกข์หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ
๗. พระพุทธพจน์ว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย คำว่าอามิสในโลก หมายถึงอะไร ? และละอามิสเหล่านั้นได้ด้วยวิธีใด ?
ตอบ :หมายถึงกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ฯ
ละได้ด้วยการทำใจมิให้ติดในสิ่งเหล่านั้น ฯ
๘. เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะบรรเทาความเมาในชีวิตไม่ติดในโลกธรรม ?
ตอบ :เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ
๑. สติ ระลึกถึงความตาย
๒. ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน
๓. เกิดสังเวชสลดใจ ฯ
๙. จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญพอเป็นตัวอย่าง ?
ตอบ :วิธีเจริญมุทิตานั้นดังนี้ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอยู่สุขสบาย เจริญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึงทำจิตใจให้ชื่นชมยินดี แล้วแผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญยั่งยืนด้วยสุขสมบัติยิ่ง ๆ เถิด เมื่อเจริญอยู่เนือง ๆ ย่อมได้รับผลดีคือ จะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้ ฯ
๑๐. อารมณ์ของสติปัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? ผู้เจริญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ :มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ
พึงมี ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส
๒. สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ
๓. สติมา มีสติ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๑
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลกนี้โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?
ตอบ :มีพระประสงค์เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เป็นจริงอันมีอยู่ในโลก จักได้ละสิ่งที่เป็นโทษ และไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ ฯ
๒. คำว่า มาร และ บ่วงแห่งมาร หมายถึงอะไร ?
ตอบ :คำว่า มาร หมายถึงกิเลสกาม อันทำจิตให้เศร้าหมอง ได้แก่ ตัณหา ราคะ และอรติ เป็นต้น
คำว่า บ่วงแห่งมาร หมายถึงวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ฯ
๓. คำว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง หมายถึงความเมาในอะไร ?
ตอบ :หมายถึงความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ดี ความเยาว์วัย ความไม่มีโรค และชีวิต ก็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ
๔. บาลีอุทเทสว่า วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณ โหติ แปลว่า เมื่อหลุดพ้นแล้ว ญาณว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมมี อะไรหลุดพ้น ? และหลุดพ้นจากอะไร ?
ตอบ :จิตหลุดพ้น จากอาสวะ ๓ ฯ
๕. โลกามิสคืออะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ตอบ :คือกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ
เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลกดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ
๖. ข้อความว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ :อธิบายว่า ภาระ หมายถึงเบญจขันธ์ การปลงภาระ หมายถึงการถอนอุปาทาน การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายถึงการไม่ถือเบญจขันธ์อื่นด้วยอุปาทาน ฯ
๗. ในพระบาลีว่า “จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อใจเศร้า หมอง ต้องประสบทุคติ” ทุคติ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ฯ
มี อบาย ทุคติ วินิบาต นรก (ตามนัยอรรถกถา มี ๔ คือ นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย) ฯ
๘. คนวิตกจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?
ตอบ :ชอบคิดมาก ฟุ้งซ่าน ฯ
ควรเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ
๙. วิปัลลาสคืออะไร ? วัตถุที่วิปัลลาส มีอะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ กิริยาที่ถือเอาโดยอาการอันผิดจากความจริง ฯ
มี ๔ อย่าง คือ
๑. วิปัลลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
๒. วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
๓. วิปัลลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
๔. วิปัลลาสในของที่ไม่งามว่างาม ฯ
๑๐. ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมใดบ้าง จึงจะกำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้ ?
ตอบ :ต้องประกอบด้วยธรรม ๓ คือ
๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
๒. สัมปชาโน รู้ทั่วพร้อม
๓. สติมา มีสติ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๐
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. ลักษณะเช่นใดบ้าง เป็นเครื่องกำหนดให้รู้ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ? จงอธิบาย
ตอบ :
๑. กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย
๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้น ด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ
๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ ไม่คงที่อยู่นาน เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นต้น ฯ
๒. ทุกขลักขณะ และ ทุกขานุปัสสนา เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? จงอธิบาย
ตอบ :ต่างกันคือ
ทุกขลักขณะ ได้แก่ ลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขาร เพราะถูกบีบคั้นจากปัจจัยต่าง ๆ
ทุกขานุปัสสนา ได้แก่ ปัญญาพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์ ฯ
๓. ตัณหา เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดที่ไหนและเมื่อดับย่อมดับที่ไหน ? ตัณหานั้นย่อมสิ้นไปเพราะธรรมอะไร ?
ตอบ :เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก เมื่อดับย่อมดับในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ฯ
เพราะวิราคะ คือพระนิพพาน ฯ
๔. พระบาลีว่า “ปญฺ าย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา” มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ :มีอธิบายว่า ผู้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายแล้ววางเฉยในสังขารนั้น ไม่ยินดีไม่ยินร้าย
ได้บรรลุอริยมรรคอริยผล ความหมดจดย่อมเกิดด้วยปัญญาอย่างนี้ ฯ
๕. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติใดจัดเป็น อริยมรรค อริยผล นิพพาน ?
ตอบ :สมุจเฉทวิมุตติ จัดเป็น อริยมรรค
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จัดเป็น อริยผล
นิสสรณวิมุตติ จัดเป็น นิพพาน ฯ
๖. จงจัดมรรค ๘ เข้าในวิสุทธิ ๗ มาดู
ตอบ :สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าในสีลวิสุทธิ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าในจิตตวิสุทธิ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จัดเข้าในทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ
๗. สันติแปลว่าอะไร ? เป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ?
ตอบ :สันติ แปลว่า ความสงบ ฯ
เป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ ฯ
๘. ในส่วนสังสารวัฏฏ์ สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ? มีอุทเทสบาลีแสดงไว้อย่างไร ?
ตอบ :สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็น ๒ คือ สุคติ และทุคติ ฯ
มีอุทเทสบาลีแสดงว่า
จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ
๙. เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ?
ตอบ :เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ๑ ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๑ เกิดสังเวชสลดใจ ๑ เจริญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย ฯ
๑๐. สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :ให้ผลต่างกันดังนี้
สมถะ ให้ผลคือทำให้ใจสงบระงับจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ส่วนวิปัสสนา ให้ผลคือทำให้ได้ปัญญาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๙
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. อุทเทสว่า “สูทังหลายจงมาดูโลกนี้” โลกในที่นี้ีหมายถึงอะไร ? คนมีลกัษณะอย่างไรชื่อว่าหมกอยู่ในโลก ?
ตอบ :หมายถึง โลก โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย ฯ
คนผู้ไร้วิจารณญาณไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ระเริงจนเกินพอดี ในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะจนถอนตนไม่ออก คนมีลักษณะอย่างนี้ ย่อมได้รับสุขบ้างทุกข์บ้าง แม้สุขก็เป็นเพียงสามิสสุข สุขอันมีเหยื่อล่อใจ เป็นเหตุให้ติดดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ
๒. นิพพิทาคืออะไร ? ปฏิทาเครื่องดําเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?
ตอบ :นิพพิทา คือความหน่ายในทุกขขันธ์ ฯ
อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา ฯ
๓. วิราคะ ได้แก่อะไร ? คําว่า “วฏฏฺูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวฏัฏะ”
มีอธิบายว่าอย่างไร ?
ตอบ :ได้แก่ ความสิ้นกําหนัด ฯ
อธิบายว่า วัฏฏะ หมายเอาความเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลสกรรมและวิบาก
วิราคะเข้าไปตัดความเวียนว่ายตายเกิดนั้น จึงเรียกว่า วฏฏฺูปจเฺฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ ฯ
๔. ความหลุดพ้นอย่างไรเป็นสมุจเฉทวิมุตติ ? จัดเป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ?
ตอบ :ความหลุดพ้นด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาด ได้แก่อริยมรรค ฯ
จัดเป็นโลกุตตระ ฯ
๕. ธรรมอะไรเป็นยอดแห่งสังขตธรรม ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ :อัฏฐังคิกมรรคเป็นยอดแห่งสังขตธรรม ฯ
เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฏฐังคิกมรรค ก็เป็นธรรมดี ๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียวนำไปถึงความดับทุกข์ หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ
๖. สันติ ความสงบ เกิดขึ้นที่ใด ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ?
ตอบ :เกิดขึ้นที่กาย วาจา ใจ ฯ
มีปฏิปทาที่จะดำเนิน คือ ปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้สงบจากโทษเวรภัย ด้วยการละโลกามิส คือ กามคุณ ๕ ฯ
๗. พระบาลีว่า “สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ธรรมเป็นที่สละอุปธิทั้งปวง” ในคำนี้ อุปธิ เป็นชื่อของอะไรได้บ้าง ? แต่ละอย่างมีอธิบายว่าอย่างไร ?
ตอบ :เป็นชื่อของกิเลสและปัญจขันธ์ ฯ
ที่เป็นชื่อของกิเลส มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือเข้าครอง
ที่เป็นชื่อแห่งปัญจขันธ์ มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือหอบไวซึ่งทุกข์ ฯ
๘. คติ คืออะไร ? สัตว์โลกที่ตายไป มีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอบ :คือภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายแล้ว ฯ
มีคติเป็น ๒ คือ
๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ
๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกายวาจาใจ ฯ
๙. ในพระพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ :พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล ฯ
เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนย ฯ
๑๐. ในวิสุทธิ ๗ วิสุทธิข้อไหนบ้าง เป็นเหตุให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา ? เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย
ตอบ :ข้อสีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีล และจิตตวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แห่งจิตเป็นเหตุให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา ฯ
เพราะผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ จิตย่อมไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบก็ยากที่จะเจริญวิปัสสนา ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๘
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. อนิจฺจตา ความไม่เที่ยงแห่งสังขาร กำหนดรู้ในทางง่ายได้ด้วยอาการอย่างไร ?
ตอบ :ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ฯ
๒. ฆนสัญญา คืออะไร ? กำหนดเห็นสังขารอย่างไร จึงถอนสัญญานั้นได้ ?
ตอบ :คือความเข้าใจว่าเป็นก้อน ได้แก่ ความถือโดยนิมิตว่าเรา ว่าเขา ว่าผู้นั้น ว่าผู้นี้ ฯ
ด้วยการพิจารณากำหนดเห็นสังขารกระจายเป็นส่วนย่อย ๆ จากฆนะ คือก้อน จนเห็นสังขารเป็น
สภาพว่าง ฯ
๓. ไวพจน์แห่งวิราคะว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง ความเมาในที่นี้ หมายถึงความเมาในอะไร ?
ตอบ :หมายถึง ความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ความถึงพร้อมแห่งชาติ สกุล อิสริยะ และบริวาร หรือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือความเยาว์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ฯ
๔. จงสงเคราะห์มรรคมีองค์ ๘ เข้าในวิสุทธิ ๗ มาดู ฯ
ตอบ :สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าในสีลวิสุทธิ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าในจิตตวิสุทธิ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จัดเข้าในทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ
๕. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ มีนิมิตและภาวนากี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ :มีนิมิต ๓ คือ บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต และมีภาวนา ๓ คือ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา ฯ
๖. ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำย่อมได้รับอานิสงส์อะไรบ้าง ?
ตอบ :ได้รับอานิสงส์อย่างนี้
๑. หลับอยู่ก็เป็นสุข
๒. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข
๓. ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
๖. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
๗. ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายไม่อาจประทุษร้าย
๘. จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็วพลัน
๙. ผิวพรรณย่อมผ่องใสงดงาม
๑๐. ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ
๑๑. เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีก ก็ย่อมเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ
๗. สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้าง ? การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยความเป็นของปฏิกูล จัดเข้าในสติปัฏฐานข้อไหน ?
ตอบ :คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ
จัดเข้าใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ
๘. พระพุทธองค์ทรงแสดงคิริมานนทสูตรที่ไหน ? แก่ใคร ? ว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ :ที่พระเชตวัน เมืองสาวัตถี ฯ แก่พระอานนท์ ฯ
ว่าด้วยสัญญา ๑๐ ฯ
๙. ท่านว่าผู้ที่จะเจริญวิปัสสนาปัญญา พึงรู้ฐานะ ๖ ก่อน ฐานะ ๖ นั้น มีอะไรบ้าง ?
ตอบ :มี
๑. อนิจจะ ของไม่เที่ยง
๒. อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง
๓. ทุกขะ ของสัตว์ทนได้ยาก
๔. ทุกขลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์
๕. อนัตตา สิ่งสภาพไม่ใช่ตัวตน
๖. อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ฯ
๑๐. บรรดาอาการ ๓๒ ประการนั้น ส่วนที่เป็นอาโปธาตุมีอะไรบ้าง ?
ตอบ :มีดี เสมหะ น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๗
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในหนังสือธรรมวิจารณ์ มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ :แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการ คือ
๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรสถูกต้อง
โผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา
๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ
๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
๒. สภาวทุกข์ สันตาปทุกข์ ได้แก่อะไร ?
ตอบ :สภาวทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ประจ าสังขาร คือชาติ ชรา มรณะ
สันตาปทุกข์ ได้แก่ ความกระวนกระวายใจเพราะถูกไฟคือกิเลสเผา ฯ
๓. พระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ” กับที่ตรัสกะโมฆราชว่า “โมฆราช ท่านจงมีสติทุกเมื่อ เล็งเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ” ทรงมีพระประสงค์ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :พระพุทธดำรัสแรก ทรงมีพระประสงค์จะทรงปลุกใจให้หยั่งเห็นซึ้งลงไปถึงคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์แห่งสิ่งนั้น ๆ อันคุมเข้าเป็นโลก
พระพุทธดำรัสหลัง ทรงมีพระประสงค์ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความตามเห็นว่าเป็นอัตตา ฯ
๔. วิสุทธิ ๗ แต่ละอย่าง ๆ จัดเข้าในไตรสิกขาได้อย่างไร ?
ตอบ :สีลวิสุทธิ จัดเข้าในสีลสิกขา
จิตตวิสุทธิ จัดเข้าในจิตตสิกขา
ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ
๕. คำว่า อุปาทิ ในคำว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงอะไร ?
ตอบ :หมายถึงขันธ์ ๕ (ขันธปัญจก) ฯ
๖. อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไว้เป็น ๔ อย่าง อะไรบ้าง ?
ตอบ :คือโลกที่ปราศจากความเจริญ ฯ
มีนิรยะ ติรัจฉานโยนิ ปิตติวิสยะ อสุรกาย ฯ
๗. ปฐมฌาณ ประกอบด้วยองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ :ด้วยองค์ ๕ ฯ
คือวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ฯ
๘. สมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่างกันอย่างไร ? หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง ?
ตอบ :สมถกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องสงบใจ
วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ
มีกายาคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ และจตุธาตุววัตถาน ฯ
๙. ปัจจุบันมีการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานกันมาก อยากทราบว่า อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน คืออะไร ?
ตอบ :คือสังขารทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอุปาทินนกะและอนุปาทินนกะ (หรือธรรมในวิปัสสนาภูมิ คือขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นต้น) ฯ
๑๐. พระคิริมานนท์หายจากอาพาธเพราะฟังธรรมจากใคร ? ธรรมนั้นว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ :จากพระอานนท์ ฯ
ว่าด้วยเรื่องสัญญา ๑๐ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๖
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. นิพัทธทุกข์ กับ สหคตทุกข์ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :นิพัทธทุกข์ คือ ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
ส่วนสหคตทุกข์ คือ ทุกข์ไปด้วยกัน หรือทุกข์ก ากับกัน ได้แก่ทุกข์มีเนื่องมาจากวิบุลผล ฯ
๒. ความเป็นอนัตตาของสังขารพึงกำหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ :
๑. ด้วยไม่อยู่ในอ านาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา
๒. ด้วยแย้งต่ออัตตา
๓. ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้
๔. ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่างหรือหายไป ฯ
๓. คำว่า วฏฺฏ ในคำว่า “วฏฺฏูปจฺเฉโท” หมายถึงอะไร ? วฏฺฏ นั้นชื่อว่าขาดสายด้วยอาการอย่างไร ?
ตอบ :หมายถึง ความเวียนเกิด ด้วยอ านาจกิเลส กรรม วิบาก ฯ
วฏฺฏ นั้นชื่อว่าขาดสายด้วยอาการที่ละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ
๔. ความเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง ท าการอ้อนวอนและบวงสรวงเป็นอาทิ จัดเข้าในอาสวะข้อไหน ?
ตอบ :จัดเข้าใน อวิชชาสวะ ฯ
๕. พระบาลีว่า “ นิกฺขิปิตฺวา คร ภาร อญฺํ ภาร อนาทิย ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น” ถามว่า “ภาระ” “การไม่ถือเอาภาระ” “การปลงภาระ” ได้แก่อะไร ?
ตอบ :ภาระ ได้แก่เบญจขันธ์ ฯ
การไม่ถือเอาภาระ ได้แก่การไม่ถือเอาเบญจขันธ์ด้วยอุปาทาน ฯ
การปลงภาระ ได้แก่การถอนอุปาทานในเบญจขันธ์ ฯ
๖. คุณของพระธรรมส่วนปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ โดยย่อว่าอย่างไร ? จงอธิบาย
ตอบ :คุณของปริยัติธรรม คือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา
คุณของปฏิบัติธรรม คือทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุมรรคผล นิพพาน
คุณของปฏิเวธธรรม คือละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน บรรลุถึงความสุขอย่างยิ่ง ฯ
๗. ในอรกสูตรกล่าวไว้ว่า ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ มีอธิบายอย่างไร ? และที่กล่าวไว้เช่นนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ?
ตอบ :มีอธิบายว่า ธรรมดาว่าชิ้นเนื้อที่บุคคลเอาลงในกระทะเหล็กอันร้อนตลอดวันยังค่าย่อมจะพลันไหม้ ไม่ตั้งอยู่นานฉันใด ชีวิตก็ถูกเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์เผาผลาญให้เหี้ยมเกรียมไม่ทนอยู่นานฉันนั้น ฯ
มีประโยชน์ คือเป็นเครื่องเตือนใจให้รู้สึกด้วยปัญญา ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต เร่งสั่งสมความดี ฯ
๘. วิปลาส คืออะไร ? จำแนกโดยวัตถุเป็นที่ตั้งมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ กิริยาที่ถือเอาโดยอาการวิปริตผิดจากความจริง ฯ
มี ๔ อย่าง คือ
๑. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
๒. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
๓. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
๔. ความสำคัญคิดเห็นในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ฯ
๙. ในนวสีวถิกาปัพพะ เมื่อเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึ่งใน ๙ ชนิดนั้นพึงภาวนาอย่างไร ?
ตอบ :พึงภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกายอันนี้เล่า เอว ธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอว ภาวี จักเป็นอย่างนี้ เอว อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ฯ
๑๐. ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้พิจารณาอะไรว่าเป็นอนัตตา ?
ตอบ :ทรงให้พิจารณาอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ว่าเป็นอนัตตา ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๕
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. พระพุทธดำรัสตอนหนึ่งว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ” ดังนี้ โดยมีพระพุทธประสงค์อย่างไร ?
ตอบ :มีพระพุทธประสงค์เพื่อทรงชักชวนแนะนำให้ดูถึงโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ของโลก เช่นเดียวกับดูละคร มิให้หลงชมความสวยงามต่างๆ แต่ให้เพ่งดูคติที่ดีและชั่ว มิให้เมามัวไปตามสิ่งนั้น ดังตรัสต่อไปอีกว่า เป็นที่คนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องติดไม่ ฯ
๒. ความอยากที่เข้าลักษณะเป็นตัณหาและไม่เป็นตัณหานั้น ได้แก่ความอยากเช่นไร เพราะเหตุไร ?
ตอบ :ความอยากที่เข้าลักษณะทำให้เกิดในภพอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ อย่างนี้จัดเป็นตัณหา เพราะเป็นทุกขสมุทัย เหตุให้ทุกข์เกิด ส่วนความอยากที่มีอยู่โดยปกติธรรมดาของคนทุกคน แม้กระทั่งพระอริยเจ้า เช่นความอยากข้าวอยากน้ำเป็นต้น ไม่จัดว่าเป็นตัณหา เพราะเป็นความอยากที่เป็นไปตามธรรมดาของสังขาร ฯ
๓. การกำหนดรู้ความเป็นอนัตตาแห่งสังขารด้วยความเป็นสภาพสูญนั้น คือรู้อย่างไร ?
ตอบ :คือ รู้จักพิจารณากำหนดเห็นสังขารกระจายเป็นส่วนย่อยๆ จากฆนคือก้อนจนเห็นเป็นความว่าง ถอนฆนสัญญาความสำคัญหมายว่าเป็นก้อน อันได้แก่ความถือเอาโดยนิมิต ว่าเรา ว่าเขา ว่าผู้นั้น ว่าผู้นี้ เสียได้ ฯ
๔. วิราคะในพระบาลีว่า “วิราโค เสฏฺโฐ ธมฺมานํ วิราคะประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย” และในพระบาลีว่า “วิราคา วิมุจฺจติ เพราะสิ้นกำหนัดย่อมหลุดพ้น” ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :วิราคะในพระบาลีแรกเป็นไวพจน์ คือคำแทนชื่อพระนิพพาน วิราคะในพระบาลีหลังเป็นชื่อของพระอริยมรรค ฯ
๕. บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า “โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข” แปลว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย ดังนี้ คำว่า อามิสในโลกหมายถึงอะไร ที่เรียกอย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ตอบ :หมายถึง เบญจพิธกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
ที่เรียกอย่างนั้น เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่ฉะนั้น ฯ
๖. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้บรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นั้น จัดเข้าในสติปัฏฐานข้อใด ให้พิจารณาอย่างไร ?
ตอบ :จัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้พิจารณาน้อมใจให้เห็นเป็นของน่าเกลียดปฏิกูล ทั้งในกายตน ทั้งในกายผู้อื่น ฯ
๗. กายคตาสติกัมมัฏฐานกับอสุภกัมมัฏฐานมีอารมณ์ต่างกันอย่างไร แก้นิวรณ์ข้อใดได้ ?
ตอบ :กายคตาสติกัมมัฏฐาน มีอาการ ๓๒ ในร่างกายเป็นอารมณ์, อสุภกัมมัฏฐาน มีซากศพเป็นอารมณ์, แก้กามฉันทนิวรณ์ ฯ
๘. จงแสดงพระพุทธคุณ ๙ โดยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ ?
ตอบ :พระพุทธคุณ คือ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู เป็นพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติ
พระพุทธคุณ คือ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระพุทธคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ
พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ฯ
๙. ปัญญารู้เห็นอย่างไร ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา ?
ตอบ :ปัญญาอันเห็นตามที่เป็นจริง คือกำหนดรู้สังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ โดยความเป็นทุกข์ ๑ โดยความเป็นอนัตตา ๑ ถอนความถือมั่นด้วยอำนาจตัณหา มานะ ทิฐิเสียได้ ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา ฯ
๑๐. ในสัญญา ๑๐ ข้อที่ ๕ ว่าปหานสัญญา ความสำคัญหรือความใส่ใจในการละ ขอทราบว่าทรงสอนให้ละอะไรบ้าง ?
ตอบ :ทรงสอนให้ละ
๑. กามวิตก
๒. พยาบาทวิตก
๓. วิหิงสาวิตก
๔. ธรรมอันเป็นบาปเป็นอกุศล
ทั้ง ๔ นี้ ที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เกิดขึ้นอีก ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๔
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. สัทธรรมปฏิรูป คืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร ?
ตอบ :คือ สัทธรรมชนิดที่ปลอมหรือเทียม ไม่ใช่สัทธรรมแท้
เกิดขึ้นจากความเห็นผิด หรือเข้าใจผิดของผู้เรียบเรียง เมื่อเรียบเรียงไปแม้ผิด ก็หารู้ไม่ ด้วยเข้าใจว่าของตนถูก แล้วได้นำมาปนไว้ในสัทธรรมที่แท้ ฯ
๒. บทอุทเทสว่า เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ ซึ่งแปลว่า สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ พระศาสดาตรัสชวนให้มาดูโลก โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?
ตอบ :ทรงมีพระประสงค์จะทรงปลุกใจพวกเราให้หยั่งเห็นซึ้งลงไปถึงคุณโทษประโยชน์ มิใช่ประโยชน์แห่งสิ่งนั้นๆ อันคุมเข้าเป็นโลก จะได้ไม่ตื่นเต้นไม่ติดในสิ่งนั้นๆ รู้จักละสิ่งที่เป็นโทษ ไม่ข้องติดอยู่ใน สิ่งที่เป็นคุณ ฯ
๓. ทุกข์ประจำสังขารกับทุกข์จร ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ :ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่ต้องมีแก่คนทุกคน ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงพ้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ส่วนทุกข์จรเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ประจวบด้วยคนหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก พรากจากคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง ฯ
๔. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติใดจัดเข้าในอริยมรรค อริยผล นิพพาน ?
ตอบ :สมุจเฉทวิมุตติ จัดเข้าใน อริยมรรค ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จัดเข้าในอริยผล นิสสรณวิมุตติจัดเข้าในนิพพาน ฯ
๕. จงจัดมรรค ๘ เข้าในวิสุทธิ ๗ มาดู ?
ตอบ :สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าในสีลวิสุทธิ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าในจิตตวิสุทธิ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จัดเข้าในทิฏฐิวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ
๖. พระศาสดาทรงสอนภิกษุโดยยกเอาเรือมาเป็นอุปมาว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ สิตฺตา เต ลหุเมสฺสติ แปลว่า ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรืออันเธอวิดแล้วจักพลันถึง มีอธิบายโดยย่อว่าอย่างไร ?
ตอบ :มีอธิบายโดยย่อว่า เรือ หมายถึงอัตภาพ วิดเรือ คือวิดน้ำที่รั่วเข้าในเรือ ซึ่งหมายถึงการบรรเทากิเลสและบาปธรรม ที่ไหลเข้ามาท่วมทับจิตใจให้บางเบาจนขจัดได้ขาด เมื่ออัตภาพนี้เบาก็จักปฏิบัติเพื่อไปสู่พระนิพพานได้เร็ว ฯ
๗. กัมมัฏฐานต่อไปนี้ คือ กสิณ จตุธาตุววัตถานะ พุทธานุสสติ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกนิวรณ์ข้อใดครอบงำ ?
ตอบ :กสิณเป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ จตุธาตุววัตถานะ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พุทธานุสสติ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกถีนมิทธะครอบงำ ฯ
๘. ในอรกสูตร กล่าวไว้ว่า ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร และที่กล่าวไว้เช่นนั้น มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ :มีอธิบายว่า ธรรมดาหยาดน้ำค้างที่จับอยู่ตามยอดหญ้า เมื่อถูกแสงอาทิตย์ในเวลาเช้า ก็พลันจะเหือดแห้งหายไป ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น มีความเกิดแล้วก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตายคอยเบียดเบียน ทำให้ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ไม่ถึงร้อยปีก็จะหมดไป เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้รู้สึกด้วยปัญญา ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต เร่งสั่งสมความดี ฯ
๙. ในอนัตตลักขณสูตร พระศาสดาทรงยกธรรมอะไรขึ้นแสดงว่าเป็นอนัตตา และในตอนท้ายของพระสูตรทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาว่าอย่างไร ?
ตอบ :ทรงยก ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขึ้นแสดง ทรงแสดงไว้ว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิตให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิตพ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือกิจพระ-ศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ ไม่มีอีก ฯ
๑๐. ในคิริมานนทสูตร ข้อว่า ปหานสัญญา พระศาสดาทรงสอนให้ละอะไร ?
ตอบ :ทรงสอนให้ละ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก และอกุศลบาปธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๓
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. อุทเทสว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” จงวิจารณ์ว่าตอนไหนแสดงปรมัตถปฏิปทา ตอนไหนแสดงปรมัตถ์ ตอนไหนแสดงสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุไร ?
ตอบ :ตอนที่ว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจ ราชรถ” แสดงปรมัตถปฏิปทา เพราะประสงค์ให้ดูเพื่อนิพพิทาเป็นต้น
ตอนที่ว่า “แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” แสดงปรมัตถ์ เพราะแสดงถึงความรู้ที่เป็นเหตุให้พ้นจากความข้องอยู่ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อันจะพึงได้ด้วยการปฏิบัติในปรมัตถปฏิปทาโดยลำดับ
ตอนที่ว่า “ที่พวกคนเขลาหมกอยู่” แสดงสังสารวัฏฏ์ เพราะต้องวนเวียนท่องเที่ยวไปด้วยความเขลา ฯ
๒. ข้อว่า ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร ดังนี้ คำว่า มาร และบ่วงแห่งมาร ได้แก่อะไร เพราะเหตุไรจึงชื่ออย่างนั้น ?
ตอบ :มาร ได้แก่ กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ให้รักให้อยากได้ ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน บ่วงแห่งมาร ได้แก่ วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติด ฯ
๓. ทุกขตา ความเป็นทุกข์แห่งสังขารนั้น กำหนดเห็นด้วยทุกข์กี่หมวด วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?
ตอบ :๑๐ หมวด ได้แก่ วิปฏิสาร คือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์ คือ ถูกลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความ
ตกอบาย ฯ
๔. คำว่า สุคติ ในพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐฺ สุคติ ปาฏิกงฺขา คืออะไร มีอะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี มี เทวะ ๑ มนุษย์ ๑ หรือ สุคติ ๑ โลกสวรรค์ ๑ ฯ
๕. วิมุตติ ความหลุดพ้นนั้น ตัวหลุดพ้นคืออะไร หลุดพ้นจากอะไร ตัวรู้ว่าหลุดพ้นคืออะไร จงอ้างหลักฐานประกอบด้วย ?
ตอบ :ตัวหลุดพ้นคือจิต หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ตามพระบาลีว่า กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยกาม จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยภพ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยอวิชชา ญาณเป็นตัวรู้ ตามพระบาลีว่า วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญฺาณํโหติ เมื่อหลุดพ้นแล้ว ญาณว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี ฯ
๖. สันติ ความสงบ เป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ ?
ตอบ :เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ที่เป็นโลกิยะได้ในบาลีว่า น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องไห้ ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่ ที่เป็นโลกุตตระได้ในบาลีว่าโลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย ฯ
๗. นิวรณ์ คืออะไร เมื่อจิตถูกนิวรณ์นั้นๆ ครอบงำ ควรใช้กัมมัฏฐานบทใดเป็นเครื่องแก้ ?
ตอบ :คือ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี
กามฉันท์ ใช้อสุภกัมมัฏฐาน หรือกายคตาสติ เป็นเครื่องแก้ พยาบาท ใช้เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร ๓ ข้อต้นเป็นเครื่องแก้ ถีนมิทธะ ใช้อนุสสติกัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้ อุทธัจจกุกกุจจะ ใช้กสิณหรือมรณัสสติเป็นเครื่องแก้ วิจิกิจฉา ใช้ธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้ ฯ
๘. จตุธาตุววัตถานกัมมัฏฐาน คืออะไร ผู้เจริญกัมมัฏฐานนี้จะพึงกำหนดพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ :คือ ความกำหนดหมายซึ่งธาตุ ๔ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ พึงกำหนดพิจารณาทั้งกายตนเองและกายผู้อื่นให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ และพึงกำหนดให้รู้จักธาตุภายในภายนอกให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุไปหมดทั้งโลก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ฯ
๙. ปัญหาว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญจะหมดไปได้ เมื่อเจริญวิปัสสนาได้ชั้นไหนแล้ว เพราะได้พิจารณาเห็นอย่างไร ?
ตอบ :ชั้นกังขาวิตรณวิสุทธิ เพราะได้พิจารณากำหนดรู้จริงเห็นจริงซึ่งนามรูปทั้งเหตุทั้งปัจจัย ข้ามล่วงกังขาในกาลทั้ง ๓ เสียได้ ไม่สงสัยว่าเราจุติมาจากไหน เราเป็นอะไร เราจะไปเกิดที่ไหน เป็นต้น ฯ
๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัญญา ๑๐ กะใคร อนิจจ-สัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้พิจารณาธรรมอะไร ?
ตอบ :พระอานนทเถระ พิจารณาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๒
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. ในพหุลานุสาสนีที่สวดในเวลาทำวัตรเช้า ไม่มีทุกขลักษณะพระไตรลักษณ์ ไม่ขาดไปข้อหนึ่งหรืออย่างไร ? จงอธิบาย
ตอบ :ไม่ขาด เพราะลักษณะทั้ง ๓ นี้ เป็นธรรมธาตุ ธรรม-นิยาม ธรรมฐิติ ความตั้งอยู่แห่งธรรมที่คงอยู่มิได้ยักย้าย อีกประการหนึ่ง บาลีว่า ยทนิจฺจํ สิ่งใดไม่เที่ยง ตํ ทุกฺขํ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ยํ ทุกฺขํ สิ่งใดเป็นทุกข์ ตทนตฺตา สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มิใช่ตัวมิใช่ตน เพราะเหตุนั้น พหุลานุสาสนีจึงได้ครบลักษณะทั้ง ๓ ฯ
๒. ทุกขขันธ์ หรือทุกข์รวบยอด หมายเอาอะไร มีหลักฐานอ้างอิงในบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่าอย่างไร ?
ตอบ :หมายเอา สังขารคือประชุมปัญจขันธ์
มีหลักฐานอ้างอิงว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ฯ
๓. การพิจารณาเห็นสังขารเป็นอนัตตา โดยมีโยนิโสมนสิการกำกับ จะไม่กลายเป็นนัตถิกทิฏฐิ เพราะกำหนดรู้ถึงธรรม ๒ ประการ ธรรมทั้ง ๒ นี้ได้แก่อะไร ?
ตอบ :ได้แก่ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ และปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ ฯ
๔. ลัทธิบางอย่างมีหลักการว่า ทำบาปแล้วบริสุทธิ์หมดจดได้ด้วยการอาบน้ำ ด้วยการบวงสรวง ด้วยการสวดอ้อนวอน เป็นต้น ในฝ่ายพระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร ? จงอ้างหลักฐาน
ตอบ :พระพุทธศาสนามีหลักว่า บุคคลทำบาปเองย่อมเศร้า-หมองเอง ไม่ทำบาปเองย่อมบริสุทธิ์หมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว ผู้อื่นทำผู้อื่นให้หมดจดหรือเศร้าหมองไม่ได้ ความบริสุทธิ์ภายในย่อมมีด้วยปัญญา
มีพระบาลีแสดงไว้ว่า ปญฺญฺาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา และว่า
อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญฺ อญฺญฺํ วิโสธเย
แปลว่า ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง
ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมอง
เป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ ฯ
๕. ข้อความว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ :อธิบายว่า ภาระ หมายเอาเบญจขันธ์ การปลงภาระหมายเอาการถอนอุปาทาน การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายเอาการไม่ถือเบญจขันธ์อื่นด้วยอุปาทาน ฯ
๖. สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร มีพระบาลีแสดงไว้อย่างไร ?
ตอบ :มีคติเป็น ๒ คือ สุคติ และทุคติ
มีพระบาลีแสดงไว้ว่า
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐฺ สุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้
จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐฺ ทุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฯ
๗. พระโยคาวจรสำเร็จปฐมฌานแล้วควรกระทำให้ชำนาญด้วยวสีทั้ง ๕ ก่อนที่จะเจริญทุติยฌานต่อไป เพราะเหตุใด ?
ตอบ :เพราะถ้าไม่ชำนาญในปฐมฌานแล้ว เมื่อเจริญทุติย-ฌานต่อขึ้นไป ก็จะเสื่อมจากปฐมฌานและทุติยฌานทั้ง ๒ ฝ่าย ฯ
๘. อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ในพระสูตรนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาญาณไว้อย่างไร ?
ตอบ :ว่าด้วย ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา
อานิสงส์แห่งวิปัสสนาญาณนั้นว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตฺวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ย่อมหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อหน่ายก็ย่อมฟอกจิตให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้
จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิตพ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าพ้นแล้ว และพระอริยสาวกนั้นรู้ประจักษ์ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก ฯ
๙. สติปัฏฐาน ๔ อันผู้ปฏิบัติธรรมอบรมให้บริบูรณ์เต็มที่แล้ว ย่อมเป็นเพื่ออานิสงส์ ๕ ประการ อะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ ๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะปริเทวะทั้งหลาย
๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกขโทมนัส
๔. เพื่อความบรรลุธรรมที่ควรรู้
๕. เพื่อความทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ฯ
๑๐. ในสัญญา ๑๐ ทรงแสดงถึงการพิจารณาพระนิพพานว่าเป็นธรรมที่สำรอกกิเลส และว่าเป็นธรรมที่ดับสนิท จัดเป็นสัญญาข้อไหนบ้าง ?
ตอบ :พิจารณาพระนิพพานว่า เป็นธรรมที่สำรอกกิเลส จัดเป็นวิราคสัญญา พิจารณาพระนิพพานว่า เป็นธรรมที่ดับสนิท จัดเป็นนิโรธสัญญา ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๑
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. ความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร พึงกำหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ :ด้วยอาการดังนี้ คือ
๑. ไม่อยู่ในอำนาจ หรือฝืนความปรารถนา
๒. แย้งต่ออัตตา
๓. ความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้
๔. ความเป็นสภาพสูญ ฯ
๒. พระบาลีว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ แปลว่า ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ คำว่า เรือ และคำว่า วิด ในที่นี้ หมายถึงอะไร ?
ตอบ :เรือ หมายถึง อัตภาพร่างกาย
วิด หมายถึง บรรเทากิเลสและบาปธรรมเสียให้บางเบา จนขจัดได้ขาด ฯ
๓. บาลีอุทเทสว่า วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญฺาณํ โหติ แปลว่า เมื่อหลุดพ้นแล้ว ญาณว่าหลุดพ้นแล้วย่อมมี ใครเป็นผู้หลุดพ้น และหลุดพ้นจากอะไร ?
ตอบ :จิตเป็นผู้หลุดพ้น, พ้นจากอาสวะ ๓ ฯ
๔. สอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพานต่างกันอย่างไร พระบาลีว่า เตสํ วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้น เป็นสุข จัดเป็นนิพพานชนิดใด ?
ตอบ :ต่างกัน คือ สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ
เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ฯ
๕. นิพพิทา คืออะไร บุคคลผู้ไม่ประสบลาภยศสรรเสริญสุข จึงเบื่อหน่ายระอาอย่างนี้ จัดเป็นนิพพิทาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ?
ตอบ :คือ ความหน่ายในเบญจขันธ์หรือในทุกขขันธ์ด้วยปัญญา
จัดเป็นนิพพิทาไม่ได้ เพราะความเบื่อหน่ายดังที่กล่าวนั้นเป็นความท้อแท้ มิใช่เป็นความหน่ายด้วยปัญญา ฯ
๖. ในส่วนสังสารวัฏ สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร จง อ้างบาลีประกอบ ?
ตอบ :มีคติเป็น ๒ คือ
สุคติ มีบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐฺ สุคติ ปาฏิกงฺขา
และทุคติ มีบาลีว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐฺ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา ฯ
๗. ผู้จะเจริญวิปัสสนาภาวนา พึงศึกษาให้รู้จักธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง ?
ตอบ :ธรรม ๓ ประการ คือ
๑. ธรรมเป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น (มีขันธ์ ๕ เป็นต้น)
๒. ธรรมเป็นรากเหง้า เป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น (คือ สีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิ)
๓. ตัว คือ วิปัสสนานั้น (คือ วิสุทธิ ๕ ที่เหลือ) ฯ
๘. วิปัลลาส คืออะไร แบ่งตามจิตและเจตสิกได้กี่ประเภท อะไรบ้าง ?
ตอบ :คือ กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง
แบ่งได้ ๓ ประเภท คือ
๑. สัญญาวิปัลลาส
๒. จิตตวิปัลลาส
๓. ทิฏฐิวิปัลลาส ฯ
๙. จริต คืออะไร เพราะเหตุใดจึงต้องเจริญกัมมัฏฐานให้เหมาะกับจริตของตน ?
ตอบ :คือความประพฤติเป็นปกติของบุคคล เพราะกัมมัฏฐานแต่ละอย่างก็เป็นที่สบายของคนแต่ละจริต ถ้าเจริญไม่เหมาะกับจริต กรรมฐานก็จะสำเร็จได้โดยยาก ฯ
๑๐. อารมณ์ของสติปัฏฐาน มีอะไรบ้าง ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ :มี กาย เวทนา จิต ธรรม
พึงมี ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส
๒. สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ
๓. สติมา มีสติ ฯ
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/สนามหลวงแผนกธรรม.png)
นักธรรม ชั้นเอก
ปัญหาและเฉลย วิชา ธรรมวิจารณ์
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๐
![](https://dhamma.lcbp.co.th/wp-content/uploads/2024/10/boder-line.png)
๑. สหคตทุกข์คือทุกข์เช่นไร มียศชื่อว่าเป็นทุกข์นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ :คือ ทุกข์ไปด้วยกัน หรือทุกข์กำกับกัน ได้แก่ ทุกข์มีเนื่องมาจากวิบุลผล
มียศ คือ ได้รับตั้งเป็นใหญ่กว่าคนสามัญเป็นชั้นๆ ต้องเป็นอยู่เติบกว่าคนสามัญ จำต้องมีทรัพย์มากเป็นกำลัง มักหาได้ไม่พอใช้ ต้องมีภาระมาก เวลาไม่เป็นของตน เป็นที่เกาะของผู้อื่นจนนุงนัง ต้องพลอยสุขทุกข์ด้วยเขา ฯ
๒. ไวพจน์ แห่งวิราคะ ได้แก่อะไรบ้าง ?
ตอบ :ได้แก่
มทนิมฺมทโน แปลว่า ธรรมยังความเมาให้สร่าง
ปิปาสวินโย แปลว่า ความนำเสียซึ่งความกระหาย
อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
วฏฺฏูปจฺเฉโท แปลว่า ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ
ตณฺหกฺขโย แปลว่า ความสิ้นแห่งตัณหา
วิราโค แปลว่า ความสิ้นกำหนัด
นิโรโธ แปลว่า ความดับ
นิพฺพานํ แปลว่า ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้ ฯ
๓. วิมุตติเป็นโลกิยธรรมหรือโลกุตตรธรรม เป็นสาสวะหรือ อนาสวะ ?
ตอบ :ถ้าเพ่งถึงวิมุตติที่สืบเนื่องมาจากนิพพิทาและวิราคะแล้ว ก็เป็นโลกุตตระและอนาสวะอย่างเดียว ถ้าเพ่งถึงวิมุตติ ๕ วิมุตติเป็นโลกิยะก็มี เป็นสาสวะก็มี คือตทังควิมุตติและวิกขัมภนวิมุตติเป็นโลกิยะ และเป็นสาสวะ วิมุตติอีก ๓ ที่เหลือ เป็นโลกุตตระ และเป็น
อนาสวะ ฯ
๔. ในบรรดาสังขตธรรมนั้น อะไรเป็นยอด เพราะเหตุไร ?
ตอบ :อัฏฐังคิกมรรคเป็นยอด เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ๆ ของอัฏฐังคิกมรรคก็เป็นธรรมดีๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียวที่นำไปถึงความดับทุกข์ หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ
๕. บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิส ในโลกเสีย ความสงบได้แก่อะไร อามิสได้แก่อะไร เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าอามิส ?
ตอบ :ความสงบ ได้แก่ ความเรียบร้อยทางกายทางวาจาและทางใจ
อามิส ได้แก่ ปัญจพิธกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าชอบใจ
เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ฯ
๖. เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงชักนำให้บำเพ็ญสมาธิ หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง ?
ตอบ :เพราะใจที่อบรมดีแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่ เป็นกำลังสำคัญในอันจะให้คิดเห็นอรรถธรรมและเหตุผลอันสุขุมลุ่มลึก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง
มี กายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ จตุธาตุววัตถานะ ฯ
๗. จงจัด นวรหคุณ แต่ละอย่างลงในพระปัญญาคุณ และพระกรุณาคุณ ?
ตอบ :บท อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู เป็นพระปัญญาคุณ
บท อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระกรุณาคุณ
บท พุทฺโธ ภควา เป็นพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณทั้งสอง
(สุคโต ในที่บางแห่งจัดเป็นทั้งพระปัญญาคุณ ทั้งพระกรุณาคุณ) ฯ
๘. อะไรเป็นลักษณะ เป็นกิจ และเป็นผลของวิปัสสนา ?
ตอบ :สภาพความเป็นเองของสังขาร คือ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จริงอย่างไร ความรู้ความเห็นว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แจ้งชัดจริงอย่างนั้น เป็นลักษณะของวิปัสสนา การกำจัดโมหะความมืดเสียให้สิ้นเชิง ไม่หลงในสังขารว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเป็นตน เป็นของงาม เป็นกิจของวิปัสสนา
ความรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันสืบเนื่องมาจากการกำจัดโมหะความมืดเสียได้ สิ้นเชิง ไม่มีความรู้ผิดความเห็นผิด เป็นผลของวิปัสสนา ฯ
๙. ในอรกสูตร ทรงแสดงอุปมาชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายไว้อย่างไรบ้าง จงบอกมา ๓ ข้อ ที่ทรงแสดงไว้เช่นนั้นเพื่ออะไร ?
ตอบ :ทรงแสดงไว้ดังนี้ คือ (ให้ตอบเพียง ๓ ข้อ)
๑. เหมือนหยาดน้ำค้าง
๒. เหมือนต่อมน้ำ
๓. เหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ
๔. เหมือนลำธารอันไหลมาจากภูเขา
๕. เหมือนก้อนเขฬะ
๖. เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ
๗. เหมือนโคที่เขาจะฆ่า
ทรงแสดงไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เร่งรีบทำความดีให้ทันกับเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ฯ
๑๐. ตามมหาสติปัฏฐานสูตร ผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ วัน ถึงตลอด ๗ ปี พึงหวังผลอะไรได้บ้าง ?
ตอบ :พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผล ในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่อวิบากขันธ์ที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้นเข้ายึดไว้ยังเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ ฯ