นักธรรม ชั้นเอก วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๗


 ๑. อาสภิวาจา คือวาจาเช่นไร ? มีใจความว่าอย่างไร ?

              ตอบ คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจ เป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย ฯมีใจความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ฯ

๒. ที่สุดโด่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง ? ที่สุดโล่งนั้นมีโทษอย่างไร ?

              ตอบ   คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ๒. อัตตกิลมถานุโยค ฯมีโทษดังนี้กามสุชัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามเป็นธรรมอันอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือนเป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนจริยะ คือผู้บธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ฯ

๓. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ?ได้รับผลอย่างไร ?

              ตอบ  ใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที ฯได้รับผล คือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ

๔. อนัตตลักขณสูตร มีใจความโดยย่อ ว่าอย่างไร ?

              ตอบ อนัตตลักขณสูตรมีใจความโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณซึ่งรวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ฯ

๕. พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก? ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?

              ตอบ   ที่ กรุงราชคฤห์ ฯเพราะทรงเห็นว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก

๖. คำว่า “วรรณะใด ประพฤติลกุศลกรรมบถ เบื้องหน้าแต่มรณะ วรรณะนั้นย่อมเข้าสู่อบายเสมอกันหมด ไม่มีพิเศษ” ใครกล่าว ? และกล่าวกะใคร?

              ตอบ   พระมหากัจจายนะ กล่าว ฯกล่าวกะพระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ฯ

๗. พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะ ว่าอย่างไรบ้าง ?

              ตอบ   พระโอวาท ๓ ข้อว่าดังนี้๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่ เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลางอย่างแรงกล้า๒. เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตฟังธรรมนั้นพิจารณาเนื้อความ๓. เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ

๘. ธรรมุเทศ ๔ ข้อ ที่พระรัฐบาลแสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะ มีใจความว่าอย่างไรบ้าง ?

              ตอบ  ใจความว่า๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำ นำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งสิ่งทั้งไป๔.โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหาฯ

๙. ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?
ก. พระนางมหาปชาบดีโคตรมีเถรี
ข. พระนางเขมาเถรี
ค. พระนางอุบลวัณณาเถรี
ง. พระนางปฏาจาราเถรี
จ. พระนางธัมมทินนาเถรี ฯ

              ตอบ   ก. พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญูข. พระนางเขมาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญาค. พระนางอุบลวัณณาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ง. พระนางปฎาจาราเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัยจ. พระนางธัมมทินนาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ

๑๐. ปาวาลเจดีย์และมกุฎพันธนเจดีย์มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร ?

              ตอบ   ปาวาลเจดีย์ เป็นที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ฯมกุฏพันธนเจดีย์ เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ฯ


 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๖


 ๑. พุทธานุพุทธประวัติให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ
        ตอบ :
 
๑. ทางประวัติศาสตร์ เช่นความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาล และลัทธิิธรรม
 เนียมของประชาชนในสมัยนั้น
 ๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจ้าและจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก
 ๓. ทางธรรมวินัยที่ปรากฏในตำนานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั้งตัวอย่างการบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ
 
 ๒. การที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยอะไร ?
        ตอบ :
เพราะทรงอาศัยความที่พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ฯ
 
 ๓. ภัพพบุคคล คือบุคคลเช่นใด ? ประเภทที่ ๑ ท่านเปรียบด้วยอะไร ?
        ตอบ :
ภัพพบุคคล คือบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ฯ
 อุคฆติตัญญู ที่เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ ก็จักบานในวันนั้น ฯ
 
 ๔. พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก? ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?
        ตอบ :
ที่ กรุงราชคฤห์ ฯ
 เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีีศาสดาเจ้าลัทธิิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
 
 ๕. พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริิพาชกมีีความว่าอย่างไร ? และมีผลอย่างไร ?
 
         ตอบ : มีีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ
 มีีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ฯ
 
 ๖. พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?
        ตอบ :
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ
 ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
 ๒. เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่งผู้เกิดในภายหลัง ฯ
 
 ๗. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า “สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย” มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
 
 ๘. พระสาวกต่อไปนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ?
 
๑. พระมหากัสสปเถระ                  ๒. พระมหากัจจายนเถระ
 ๓. พระโมฆราชเถระ            ๔. พระโสณกุฏิกัณณเถระ
 ๕. พระราหุลเถระ
          ตอบ :
 
๑. เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์
 ๒. เป็นผู้เลิศในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร
 ๓. เป็นผู้เลิศในทางทรงจีวรเศร้าหมอง
 ๔. เป็นผู้เลิศในทางมีวาจาไพเราะ
 ๕. เป็นผู้เลิศในทางเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ฯ
 
 ๙. การปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?
        ตอบ :
หมายถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน ฯ
 ทรงกระทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
 
 ๑๐. การทำสังคายนาครั้งแรก ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ? และทำที่ไหน ?
        ตอบ :
พระมหากัสสปะทำหน้าที่ปุจฉา
 พระอุบาลีทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย
 พระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ
 ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคููหา
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๕


 ๑. พุทธานุพุทธประวัติให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ
        ตอบ :
๑. ทางประวัติศาสตร์เช่นความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาล และลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั้น
 ๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจ้าและจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก
 ๓. ทางธรรมวินัยที่ปรากฏในตำนานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั้งตัวอย่างการบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ
 
 ๒. ข้ออุปมาว่า “ไม้แห้งที่วางไว้บนบก ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิดไฟได้” เกิดขึ้นแก่ใคร ? โดยนำไปเปรียบกับอะไร ?
        ตอบ :
เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ โดยทรงนำไปเปรียบกับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้องย่อมสามารถตรัสรู้ธรรมได้ฯ
 
 ๓. ในอนัตตลักขณสูตร พระพุทธองค์ตรัสอะไรว่าเป็นอนัตตา ?
        ตอบ :
ตรัสว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรียกว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ฯ
 
 ๔. โอวาทปาฏิโมกข์ใจความย่อว่าอย่างไร ? ทรงแสดงที่ไหน ?
        ตอบ :
ใจความย่อว่า การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำใจให้บริสุทธิ์ฯ
 ทรงแสดงที่วัดเวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ฯ
 
 ๕. ธรรมจักษุหมายถึงอะไร ? ใครได้บรรลุเป็นองค์แรก ?
        ตอบ :
ธรรมจักษุหมายถึงดวงตาเห็นธรรม ได้แก่โสดาปัตติมรรค ฯ
 พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุเป็นองค์แรก ฯ
 
 ๖. ธรรมุเทศ ๔ ข้อ ที่พระรัฐบาลแสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะมีใจความว่าอย่างไรบ้าง ?
        ตอบ :
ว่า ๑. โลกคือหมู่สัตว์อันชราเป็นผู้นำ นำเข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน
 ๒. โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
 ๓. โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของตนจำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
 ๔. โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
 
 ๗. ปัญหาว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด” ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม ? ได้รับคำพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
 ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
 
 ๘. พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ?
 
๑. พระอัญญาโกญทัญญะเถระ
 ๒. พระมหากัสสปะเถระ
 ๓. พระราธะเถระ
 ๔. พระอุบลวรรณาเถรี
 ๕. พระธัมมทินนาเถรี
          ตอบ :
 
๑. พระอัญญาโกญทัญญะ เป็นผู้เลิศในทางรัตตัญญู
 ๒. พระมหากัสสปะเถระ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์
 ๓. พระราธะเถระ เป็นผู้เลิศในทางผู้มีปฏิภาณ
 ๔. พระอุบลวรรณาเถรีเป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์
 ๕. พระธัมมทินนาเถรีเป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก ฯ
 
 ๙. ปาวาลเจดีย์และมกุฏพันธนเจดีย์มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร ?
        ตอบ :
ปาวาลเจดีย์เป็นที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ฯ
 มกุฏพันธนเจดีย์เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ฯ
 
 ๑๐. การทำสังคายนาครั้งแรก ทำที่ไหน ? ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ?
        ตอบ :
ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ฯ
 พระมหากัสสปเถระทำหน้าที่ปุจฉา
 พระอุบาลีเถระทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย
 พระอานนท์เถระทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๔


 ๑. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่าศากยะเพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ
 เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
 ๑. เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง
 ๒. เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ
 
 ๒. ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี เกิดขึ้นแก่โกณฑัญญะความว่าอย่างไร ? ในขณะนั้น ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหน ?
        ตอบ :
ความว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ฯ
 
 ๓. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? และได้รับผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อ และเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที ฯ
 ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
 
 ๔. พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?
        ตอบ :
ที่กรุงราชคฤห์ ฯ เพราะทรงเห็นว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดา เจ้าลัทธิต่างๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
 
 ๕. พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า“ไม่ทำศรัทธา และโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” ? และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ ว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น” ฯ
 
 ๖. พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์ อย่างไร ?
        ตอบ :
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ
 ๑. การอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน
 ๒. เพื่อเป็นทิฏฐานุคติแห่งชนรุ่นหลัง ฯ
 
 ๗. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า“สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย” มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
 
 ๘. พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ?
 
๑. พระสารีบุตรเถระ  ๒. พระมหาโมคคัลลานะเถระ
 ๓. พระอุบาลีเถระ     ๔. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
 ๕. พระอุบลวรรณาเถรี
          ตอบ :
 
๑. พระสารีบุตรเถระ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญา
 ๒. พระมหาโมคคัลลานะเถระ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์
 ๓. พระอุบาลีเถระ เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย
 ๔. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เป็นผู้เลิศในทางผู้รัตตัญญู
 ๕. พระอุบลวรรณาเถรี เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์ ฯ
 ๙. การปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?
        ตอบ :
หมายถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน นับแต่
 วันเพ็ญ เดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน ฯ
 ทรงกระทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
 
 ๑๐. ถูปารหบุคคล ได้แก่บุคคลเช่นไร ? มีใครบ้าง ?
        ตอบ :
ได้แก่ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการบูชา ฯ
 มี       ๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
 ๓. พระอรหันตสาวก
 ๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๓


 ๑. พุทธานุพุทธประวัติ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ
        ตอบ :
 
๑. ทางประวัติศาสตร์ เช่น ความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาลและลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั้น
 ๒. ทางจรรยาของพระพุทธเจ้าและจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก
 ๓. ทางธรรมวินัยที่ปรากฏในตำนานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรมพร้อมทั้งตัวอย่างการบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ
 
 ๒. อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
อาสยะหมายถึงความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณา ปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ แม้ในบุคคลที่ทำผิดต่อพระองค์ มีพระเทวทัตเป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา
 ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤหัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ
 
 ๓. หลังจากตรัสรู้แล้ว ขณะพิจารณาปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทาน ในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัย กำจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ
 
 ๔. โอวาทปาฏิโมกข์ทรงแสดงที่ไหน ? มีใจความย่อว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
ที่วัดเวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ
 ใจความย่อว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำใจให้บริสุทธิ์ ฯ
 
 ๕. พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ? และมีผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ
 มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ฯ
 
 ๖. ธรรมุเทศ ๔ ข้อ ที่พระรัฐบาลแสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะ มีใจความว่าอย่างไรบ้าง ?
        ตอบ :
ว่า ๑. โลกคือหมู่สัตว์อันชราเป็นผู้นำ นำเข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน
 ๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
 ๓. โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
 ๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
 
 ๗. พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไรบ้าง ?
        ตอบ :
พระโอวาท ๓ ข้อว่าดังนี้
 ๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่าเราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลางอย่างแรงกล้า
 ๒. เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตฟังธรรมนั้น พิจารณาเนื้อความ
 ๓. เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ
 
 ๘. พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
        ตอบ :
ด้วยคุณสมบัติ ๕ ประการ คือ
 ๑. เป็นพหูสูต           ๒. มีสติ
 ๓. มีคติ                  ๔. มีธิติ
 ๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก ฯ        
 
 ๙. ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?
 ก. พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี
 ข. พระนางเขมาเถรี
 ค. พระนางอุบลวัณณาเถรี
 ง. พระนางปฏาจาราเถรี
 จ. พระนางธัมมทินนาเถรี ฯ
        ตอบ :
 
ก. ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู
 ข. ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา
 ค. ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์
 ง. ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย
 จ. ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ
 
 ๑๐. การทำสังคายนาครั้งแรกใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ? และทำที่ไหน ?
        ตอบ :
พระมหากัสสปะทำหน้าที่ปุจฉา
 พระอุบาลีทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย
 พระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ
 ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๒


 ๑. พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?
        ตอบ :
เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างแจ่มแจ้ง ครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ
 
 ๒. ข้ออุปมาว่า “ไม้แห้งที่วางไว้บนบก ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิดไฟได้” เกิดขึ้นแก่ใคร ? โดยนำไปเปรียบกับอะไร ?
        ตอบ :
แก่พระมหาบุรุษ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ โดยทรงนำไปเปรียบกับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม ใจก็ละความรักใคร
 ในกามสงบดีแล้ว หากพากเพียร พยายามอย่างถูกต้องย่อมสามารถ
 ตรัสรู้ธรรมได้ ฯ
 
 ๓. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? และได้รับผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที ฯ
 ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
 
 ๔. อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร มีใจความโดยย่อว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
อนัตตลักขณสูตรมีใจความโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมเรียกว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ฯ
 อาทิตตปริยายสูตรมีใจความโดยย่อว่าอายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะโทสะโมหะและร้อนเพราะความเกิดความแก่ ความตาย ความโศก ร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ
 
 ๕. พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?
        ตอบ :
ที่กรุงราชคฤห์ ฯ
 เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดา เจ้าลัทธิต่างๆ นั้น ล้วนมีคนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
 
 ๖. พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?
        ตอบ :
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ
 ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
 ๒. เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลังจะได้ถือเป็นแบบอย่างแห่งการปฏิบัติตามปฏิปทาของท่าน ฯ
 
 ๗. พระพุทธพจน์ว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญหมายถึงการปฏิบัติย่างไร? พระสาวกรูปใดสามารถอธิบายพระพุทธพจน์นี้ได้ถูกต้องตามพุทธประสงค์ ?
        ตอบ :
หมายถึง เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ
 พระมหากัจจายนะ ฯ
 
 ๘. “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม
 พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ
          ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ
 
 ๙. พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ?
 
๑. พระมหาโมคคัลลานะ
 ๒. พระมหากัสสปะ
 ๓. พระอุบาลี
 ๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี
 ๕. พระนางเขมา
          ตอบ :
 
๑. พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์
 ๒. พระมหากัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์
 ๓. พระอุบาลี เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย
 ๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นผู้เลิศในทางผู้รัตตัญญู
 ๕. พระนางเขมา เป็นผู้เลิศในทางปัญญา ฯ
 
 ๑๐. ถูปารหบุคคล ได้แก่บุคคลเช่นไร ? มีใครบ้าง ?
        ตอบ :
ได้แก่ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการบูชา ฯ
 มี       ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
 ๓. พระอรหันตสาวก
 ๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๑


 ๑. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่าศากยะเพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
 ๑. เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง
 ๒. เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เองฯ
 
 ๒. ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง? ที่สุดโต่งนั้นมีโทษอย่างไร ?
        ตอบ :
คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค       ๒. อัตตกิลมถานุโยค ฯ
 มีโทษดังนี้
 กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามเป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือนเป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
 อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ
 
 ๓. ภัพพบุคคล คือ บุคคลเช่นใด ? ประเภทที่ ๑ ท่านเปรียบด้วยอะไร ?
        ตอบ :
ภัพพบุคคล คือ บุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ฯ
 อุคฆติตัญญู เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จักบานในวันนั้น ฯ
 
 ๔. พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ที่ไหน ? มีใจความย่อว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ ใจความย่อว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำใจให้บริสุทธิ์ ฯ
 
 ๕. หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะได้ทำกิจใด ที่สำคัญแก่พระศาสนา ? จงอธิบาย
        ตอบ :
ท่านได้ทำกิจที่สำคัญ คือเป็นผู้ชักชวนภิกษุสงฆ์ ทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยและเป็นประธานในการทำสังคายนา นั้นอันเป็นเหตุให้พระศาสนาตั้งมั่นถาวรสืบมาจนถึงปัจจุบัน ฯ
 
 ๖. ปัญหาว่า “โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด” ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? ได้รับคำพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
 ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้ง ปิดบังไว้ จึงหลงอยู่ในที่มืด ฯ
 
 ๗. พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่าสุขหนอ ๆ ดังนี้ เพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้วยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหน ๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่งเป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ
 
 ๘. ในครั้งปฐมสังคายนา พระสาวกองค์ใดรับหน้าที่วิสัชนาพระวินัย? ท่านอุปสมบทพร้อมกับใครบ้าง ?
        ตอบ :
พระอุบาลีเถระ ฯ
 อุปสมบทพร้อมกับเจ้าศากยะ ๕ พระองค์ คือ ภัททิยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภัคคุ กิมพิละ กับเจ้าโกลิยะ ๑ องค์ คือเทวทัต ฯ
 
 ๙. ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?
 ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
 ข. พระเขมาเถรี
 ค. พระอุบลวัณณาเถรี
 ง. พระปฏาจาราเถรี
 จ. พระธัมมทินนาเถรี
        ตอบ :
 
ก. ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู
 ข. ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา
 ค. ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์
 ง. ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย
 จ. ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ
 
 ๑๐. สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ?
        ตอบ :
ว่า “เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระสมณะนั้น บัดนี้ เราพอใจจะทำสิ่งใดก็ทำ หรือมิพอใจทำสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ” ฯ เป็นเหตุ
 ให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๖๐


 ๑. อาสภิวาจาคือวาจาเช่นไร ? มีใจความว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจ เป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย ฯ
 มีใจความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ฯ
 
 ๒. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? ที่ไหน ? และได้รับผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตาม ฯ ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ
 ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
 
 ๓. ทางปฏิบัติที่สุด ๒ อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง ? มีอธิบายอย่างไร ?
        ตอบ :
คือ
 ๑) กามสุขัลลิกานุโยค
 ๒) อัตตกิลมถานุโยคฯ
 มีอธิบายดังนี้ กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนาไม่ใช่ของคนอริยะคือบริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
 อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่าให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ
 
 ๔. พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล ๓ พี่น้องพร้อมบริวารโดยบังเอิญ หรือโดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ? มีหลักฐานสนับสนุนคำตอบนั้นอย่างไร ?
        ตอบ :
โดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ฯ มีหลักฐานปรากฏว่า ในครั้งที่ทรงส่งพระสาวก ๖๐ องค์แรก ไปประกาศพระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ ทรงมีพระดำรัสว่า “แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ
 
 ๕. พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ? และมีผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ
 มีผลคือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ
 
 ๖. พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?
        ตอบ :
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ
 ๑) การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
 ๒) เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลังจะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่เขาเอง ฯ
 
 ๗. พระพุทธองค์ทรงแสดงสุจริตธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทำให้ทั้ง ๒ พระองค์ได้บรรลุอริยผลชั้นไหน ?
        ตอบ :
ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุสกทาคามิผล และพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงบรรลุโสดาปัตติผล ฯ
 
 ๘. พระสารีบุตรนิพพานที่ไหน ? ท่านเลือกสถานที่นั้นเพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
ที่นาลันทคาม แคว้นมคธฯ เพราะตั้งใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาของท่านให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิก่อนที่ท่านจะนิพพาน ฯ
 
 ๙. พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน? ตั้งอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง ?
        ตอบ :
เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ฯ
 ตั้งอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็น ในวิมุตติ ฯ
 
 ๑๐. หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสาวกองค์ใดเป็นประธานในการทำปฐมสังคายนา ? เพราะปรารภเหตุใด ?
        ตอบ :
พระมหากัสสปะ ฯ
 เพราะปรารภคำกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระสุภัททะผู้บวชตอนแก่ ในระหว่างทางมาสักการะพระพุทธสรีระฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๙


 ๑. พุทธานุพุทธประวัติ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางด้านใดบ้าง ? จงอธิบายพอได้ใจความ
        ตอบ :
 
๑).ทางประวัติศาสตร์ เช่น ความเป็นไปของบ้านเมืองในครั้งพุทธกาล และลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั้น
 ๒) ทางจรรยาของพระพุทธเจ้า และจรรยาของเหล่า
 พระอริยสาวก
 ๓) ทางธรรมวินัยที่ปรากฏในตำนานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั้งตัวอย่างการบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ
 
 ๒. การที่พระพุทธองค์ทรงเลิกการทรมานพระวรกายแล้วกลับมาเสวยพระกระยาหารเพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ?
        ตอบ :
เพราะทรงพิจารณาเห็นว่าคนที่ไม่บริโภคอาหาร ร่างกายหมดกำลังไม่สามารถบำเพ็ญเพียรทางจิตได้ ฯ
 
 ๓. อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณาปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิจแม้ในบุคคลที่ทำผิดต่อพระองค์ มีพระเทวทัต เป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา
 ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ
 
 ๔. ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี เกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ความว่าอย่างไรในขณะนั้น ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหน ?
        ตอบ :
ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ฯ
 
 ๕. พระศาสดาทรงแสดงอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ตามลำดับแก่บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นไร ?
        ตอบ :
แก่ผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
 ๑) เป็นมนุษย์
 ๒) เป็นคฤหัสถ์
 ๓).มีอุปนิสัยแก่กล้า ควรบรรลุโลกุตตรคุณ
 
 ๖. “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้าๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
เป็นคำพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้นก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ
 
 ๗. พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไร ? จัดเข้าในการอุปสมบทวิธีใด ?
        ตอบ :
พระโอวาท ๓ ข้อ ว่าดังนี้
 ๑) กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า เราเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นผู้ปานกลาง อย่างแรงกล้า
 ๒) เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตฟังธรรมนั้นพิจารณาเนื้อความ
 ๓) เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ
 จัดเข้าในเอหิภิกขุอุปสมบทวิธี ฯ
 
 ๘. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า“สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย” มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
 
 ๙. อายุสังขาราธิษฐานกับการปลงอายุงสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?
        ตอบ :
อายุสังขาราธิษฐาน หมายถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระหฤทัยว่า จักดำรงพระชนม์อยู่แสดงธรรมสั่งสอนมหาชนจนกว่าพุทธบริษัทตั้งมั่น และได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลายมั่นคง สำเร็จประโยชน์แก่มหาชน
 การปลงอายุงสังขาร หมายถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน
 อายุสังขาราธิษฐาน ทรงกระทำที่อชปาลนิโครธ ใกล้สถานที่ตรัสรู้ การปลงอายุงสังขารทรงกระทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
 
 ๑๐. การทำสังคายนาครั้งแรก เกิดขึ้นหลังจากปรินิพพานล่วงแล้วกี่เดือน ? ใช้เวลาเท่าไร ? ใครทำหน้าที่ปุจฉาและวิสัชนา ?
        ตอบ :
ล่วงแล้ว ๓ เดือน ใช้เวลา ๗ เดือน
 พระมหากัสสปะทำหน้าที่ปุจฉา
 พระอุบาลีทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัย
 พระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรมฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๘


 ๑. พระพุทธองค์ทรงปฏิญาณว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?
        ตอบ :
ทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อย่างแจ่มแจ้ง ครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ
 
 ๒. พุทธจักษุ กับธรรมจักษุ ต่างกันอย่างไร ? แต่ละอย่าง ใครได้เป็นคนแรก?
        ตอบ :
พุทธจักษุคือจักษุของพระพุทธเจ้า หมายถึงพระปัญญาของพระพุทธองค์ที่ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์
 ส่วนธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ได้แก่โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังธรรม ฯ
 พุทธจักษุ เป็นคุณสมบัติเฉพาะพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงได้เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว ส่วนธรรมจักษุ พระอัญญาโกณฑัญญะได้เป็นองค์แรก ฯ
 
 ๓. พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร?
        ตอบ :
ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น” ฯ
 
 ๔. ผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยวิธีรับโอวาท และโดยวิธีรับครุธรรม คือใคร ? และได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางใด ?
        ตอบ :
โดยวิธีรับโอวาท คือพระมหากัสสปะ และโดยวิธีรับครุธรรม คือพระมหาปชาบดีโคตมี ฯ
 พระมหากัสสปะ ในทางผู้ทรงธุดงคคุณ ส่วนพระมหาปชาบดีโคตมี ในทางรัตตัญญู ฯ
 
 ๕. พระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาในสวรรค์ชั้นใด ? ด้วยธรรมอะไร ? และพระพุทธมารดาได้รับผลอะไร ?
        ตอบ :
ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฯ ด้วยพระอภิธรรม ฯ ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ฯ
 
 ๖. อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่าอะไร? ได้บรรลุคุณวิเศษอะไรในพระพุทธศาสนา ?
 ที่ไหน ?
        ตอบ :
สุทัตตะฯ โสดาปัตติผลฯ ที่เมืองราชคฤห์ ฯ
 
 ๗. พระสาวกที่มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า “สุขหนอ สุขหนอ” ดังนี้ คือใคร ? ท่านเปล่งอุทานเช่นนี้เพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
คือพระภัททิยะ ฯ เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมืองจนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวง สะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิจ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ง เป็นดุจมฤคอยู่ จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ
 
 ๘. พระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์ องค์ใดนิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธองค์ ? จงอ้างหลักฐานมาแสดง
        ตอบ :
หลังพระพุทธองค์ทั้งหมด ฯ หลักฐาน คือพระสาวกทั้ง ๓ องค์นั้น ได้ร่วมประชุมสงฆ์ทำสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน ฯ
 
 ๙. คำว่า “วรรณะใด ประพฤติอกุศลกรรมบถ เบื้องหน้าแต่มรณะ วรรณะนั้นย่อมเข้าสู่อบายเสมอกันหมด ไม่มีพิเศษ” ใครกล่าว? และกล่าวกะใคร ?
        ตอบ :
พระมหากัจจายนะกล่าวฯกล่าวกะพระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ฯ
 
 ๑๐. ในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธสรีระส่วนใดยังคงเหลืออยู่?
        ตอบ :
พระอัฐิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทันตา เหลืออยู่ นอกนั้นถูกเพลิงไหม้หมดสิ้น ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๗


 ๑. พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายแล้วทรงบรรเทาความเมาในอะไรได้ ?
        ตอบ :
ทรงบรรเทาความเมาในวัย ความเมาในความไม่มีโรคและความเมาในชีวิต ฯ
 
 ๒. ในการเสด็จออกบรรพชา พระมหาบุรุษได้รับบาตรและจีวรจากใคร ?
        ตอบ :
จากฆฏิการพรหม ฯ
 
 ๓. ขณะที่พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุข ณ รัตนฆรเจดีย์ ทรงพิจารณาธรรมอะไร ฯ
        ตอบ :
ทรงพิจารณาพระอภิธรรม ฯ
 
 ๔. ยสกุลบุตรฟังธรรมอะไรจากพระพุทธองค์ จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ? จงบอกมาตามลำดับตั้งแต่ต้น
        ตอบ :
ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ๒ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ บรรลุเป็นพระโสดาบัน ครั้งที่ ๒ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฯ
 
 ๕. คำว่า“สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
เป็นคำพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ
 
 ๖. การที่พระสารีบุตรมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้กตัญญูกเวทีนั้น มีหลักฐานอะไรเป็นตัวอย่าง จงแสดงมาสัก ๒ เรื่อง ?
        ตอบ :
เรื่องที่ ๑ ท่านได้ฟังคำสอนจากพระอัสสชิโดยย่อจนได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อทราบว่า พระอัสสชิอยู่ทางทิศใด เวลาจะนอนก็หันศีรษะไปทางทิศนั้นด้วยความเคารพ
 เรื่องที่ ๒ ท่าระลึกกถึงอุปการะที่รับบิณฑบาตจากราธพราหมณ์เพียง ๑ ทัพพี จึงรับเป็นภาระในการจัดการอุปสมบทตามความประสงค์ ฯ
 
 ๗. ธรรมุทเทศ ๔ ข้อ ได้แก่อะไรบ้าง ? ใครแสดง ? แสดงแก่ใคร?
 ตอบ
   ได้แก่
 ๑) โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำ นำเข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน
 ๒) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
 ๓) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
 ๔) โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา
 พระรัฐบาลแสดง ฯ แสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ
 
 ๘. อภิญญาเทสิตธรรม มีอะไรบ้าง ? ทรงแสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ?
        ตอบ :
มีสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ฯ ทรงแสดงแก่ภิกษุสงฆ์ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ฯ ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ฯ
 
 ๙. ปาวาลเจดีย์และมกุฏพันธนเจดีย์อยู่ที่เมืองอะไร? มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร ?
        ตอบ :
ปาวาลเจดีย์อยู่ที่เมืองเวสาลี เป็นที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ฯ มกุฏพันธนเจดีย์อยู่ที่เมืองกุสินารา เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
 
 ๑๐. สุภัททะ วุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ?
        ตอบ :
ว่า “เราทั้งหลายได้พ้นเสียแล้วด้วยดีจากพระสมณะนั้น ด้วยท่านสั่งสอนว่า “สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร” เราเกรงก็ต้องทำตามเป็นความลำบากนัก ก็บัดนี้เราจะทำสิ่งใด หรือมิพอใจทำสิ่งใดก็ได้ตามความปรารถนา จะต้องเกรงแต่บัญชาของผู้ใดเล่า” ฯ เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๖


 ๑. พระโพธิสัตว์เมื่อจะจุติลงสู่พระครรภ์พระมารดา เสด็จมาจากไหน ?
        ตอบ :
เสด็จมาจากดุสิตพิภพ ฯ
 
 ๒. บุคคลผู้เป็นสหชาติของพระศาสดาที่บรรลุพระอรหัตก่อนและหลังพุทธปรินิพพานมีใครบ้าง ?
        ตอบ :
ผู้บรรลุพระอรหัตก่อนพุทธปรินิพพาน มีพระนางพิมพาเถรี และพระกาฬุทายีเถระ
 ผู้บรรลุพระอรหัตหลังพุทธปรินิพพาน มีพระอานนทเถระและพระฉันนเถระ ฯ
 
 ๓. พระมหาบุรุษทรงดำเนินด้วยพระบาท ๗ ก้าวหลังจากประสูติใหม่ๆ เรื่องนี้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถอดความว่าอย่างไร?
        ตอบ :
ทรงถอดความว่า น่าจะได้แก่ทรงแผ่พระศาสนาได้แพร่หลายใน ๗ ชนบท (ได้แก่ ๑. กาสีกับโกสละ ๒. มคธะกับอังคะ ๓. สักกะ ๔. วัชชี ๕. มัลละ ๖. วังสะ ๗. กุรุ) ฯ
 
 ๔. ปฐมสาวกกับปัจฉิมสาวกคือใคร ได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งแรกว่าด้วยเรื่องอะไร ?
        ตอบ :
ปฐมสาวกคือพระอัญญาโกณฑัญญะ ฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยที่สุด ๒ อย่าง และมัชฌิมาปฏิปทา ฯ
 ปัจฉิมสาวก คือสุภัททปริพาชก ฟังพระธรรมเทศนาว่าด้วยพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ประเภทมีอยู่เฉพาะในธรรมวินัยที่มีมรรคมีองค์ ๘
 
 ๕. พระอานนท์ได้รับเลือกให้เป็นพุทธอุปัฏฐากในเวลาก่อนหรือหลังบรรลุเป็นพระโสดาบัน ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในทางใดบ้าง ?
        ตอบ :
หลังบรรลุโสดาบัน ฯ
 ในทางเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นพหุสูต มีคติ มีสติ มีธิติและเป็นอุปัฏฐาก ฯ
 
 ๖. การอุปสมบทสำหรับพระภิกษุในครั้งพุทธกาลมีทั้งหมดกี่วิธี อะไรบ้าง ในปัจจุบันใช้วิธีใด ฯ
        ตอบ :
มี ๓ วิธี คือ
 ๑) เอหิภิกขุอุปสัมปทา
 ๒) ติสรณคมนูปสัมปทา
 ๓) ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา
 ใช้ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ฯ
 
 ๗. ในพุทธกิจจกถาพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ด้วยทรงมุ่งประโยชน์อะไร ?
        ตอบ :
ทรงมุ่งประโยชน์ทั้ง ๓ คือ
 ๑) ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ที่จะพึงได้ในปัจจุบัน
 ๒) สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ที่จะพึงได้ในภายหน้า
 ๓) ปรมัตถประโยชน์ คือประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ วิมุตติ ความหลุดพ้นพิเศษ ฯ
 
 ๘. พระพุทธองค์ทรงเลือกเมืองกุสินาราเป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยเหตุผลอันใด ?
        ตอบ :
ด้วยเหตุผลคือ
 ๑) จะเป็นเหตุเกิดแห่งมหาสุทัสสนสูตร
 ๒).จะได้โปรดสุภัททปริพพาชกผู้เป็นพุทธเวไนย
 ๓) จะได้ป้องกันการรบกันครั้งใหญ่เพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ ฯ
 
 ๙. พระเถระรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะดังต่อไปนี้
 ก. ทรงทิพยจักขุญาณ                ข. ยังตระกูลให้เลื่อมใส
 ค. เป็นธรรมกถึก             ฆ. ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
 ง. ผู้เป็นขิปปาภิญญาตรัสรู้เร็ว
        ตอบ :
 
ก. พระอนุรุทธเถระ
 ข. พระกาฬุทายีเถระ
 ค. พระปุณณมันตานีบุตร
 ฆ. พระโมฆราชเถระ
 ง. พระพาหิยทารุจีริยะ ฯ
 
 ๑๐. พระมหากัสสปเถระชักชวนภิกษุทั้งหลายให้ทำสังคายนาครั้งแรกเพราะปรารภเหตุอะไร ?
        ตอบ :
เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คือ
 ๑) ระลึกถึงคำของสุภัททวุฒฑบรรพชิตกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย
 ๒) ระลึกถึงอุปการคุณของพระผู้มีพระภาคที่มีอยู่แก่ตน ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๕


 ๑. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ที่ได้นามว่า ศากยะเพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
 ๑. เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง
 ๒. เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ
 
 ๒. พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งครั้งแรก เรียกว่าอะไร ความว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
เรียกว่า อาสภิวาจา
 ความว่า “เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก (อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส)
 เราเป็นผู้เจริญแห่งโลก (เชฏฺโหมสฺมิ โลกสฺส)
 เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก (เสฏฺโหมสฺมิ โลกสฺส)
 ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย (อยมนฺติมา ชาติ)
 บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี (นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว)” ฯ
 
 ๓. การที่พระพุทธองค์ทรงเลิกการทรมานพระวรกายแล้วกลับมาเสวยพระกระยาหาร เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ?
        ตอบ :
เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า คนที่ไม่ยอมบริโภคอาหารจนร่างกายหมดกำลัง ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรทางจิตได้ ฯ
 ๔. เมื่อพระเบญจวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้ว พระบรมศาสดาทรงพิจารณาเห็นอย่างไรจึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดพระเบญจวัคคีย์ ?
        ตอบ :
ทรงพิจารณาเห็นว่า พระเบญจวัคคีย์ตั้งอยู่ในที่แห่งสาวก มีอินทรีย์คือศรัทธาเป็นต้น แก่กล้า ควรเจริญวิปัสสนาเพื่อวิมุติได้แล้ว จึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดพระเบญจวัคคีย์ ฯ
 
 ๕. พระอัสสชิเถระแสดงธรรมโดยย่อแก่อุปติสสปริพาชก ความว่าอย่างไร และได้ผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้, อุปติสสปริพาชกได้ฟังแล้วได้ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ฯ
 
 ๖. การอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา พระสาวกผู้เป็นอุปัชฌายะ และเป็นสัทธิวิหาริกรูปแรกคือใคร ?
        ตอบ :
พระสารีบุตร เป็นอุปัชฌายะรูปแรก
 พระราธะ เป็นสัทธิวิหาริกรูปแรก ฯ
 
 ๗. ข้อความว่า “วรรณะใดประพฤติกุศลกรรมบถ วรรณะนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์” ดังนี้ ใครกล่าว และกล่าวแก่ใคร ?
        ตอบ :
พระมหากัจจายนะ กล่าว
 กล่าวแก่พระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ฯ
 
 ๘. ปัญหาว่า “โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด” ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม ได้รับคำพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม
 ได้รับคำพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
 
 ๙. พระสาวก สาวิกาต่อไปนี้ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด ?
 ๑) พระมหาโมคคัลลานะ
 ๒) พระมหากัสสปะ
 ๓) พระอุบาลี
 ๔) พระนางมหาปชาบดีโคตมี
 ๕) พระนางเขมา
        ตอบ :

 ๑) พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์
 ๒) พระมหากัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์
 ๓) พระอุบาลี เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย
 ๔) พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นผู้เลิศในทางผู้รัตตัญญู
 ๕) พระนางเขมา เป็นผู้เลิศในทางปัญญา ฯ
 
 ๑๐. พุทธเจดีย์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง พระพุทธรูปสงเคราะห์เข้าในเจดีย์ประเภทใด ?
        ตอบ :
มี ๔ ประเภท คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์และอุทเทสิกเจดีย์, สงเคราะห์เข้าในอุทเทสิกเจดีย์ ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๔


 ๑. บารมี ๑๐ ของพระมหาบุรุษมีอะไรบ้าง ท่านเปรียบเทียบบารมีข้อไหน กับอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดใด ในการต่อสู้กับหมู่มาร ?
        ตอบ :
คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมีปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี
 ศีลบารมีเปรียบเทียบกับแผ่นดิน ปัญญาบารมีเปรียบเทียบกับพระขรรค์ วิริยบารมีเปรียบเทียบกับพระบาท
 บารมีที่เหลือจากนี้เปรียบเทียบกับโล่ป้องกัน ฯ
 
 ๒. นวหรคุณ คือพระพุทธคุณ ๙ บท บทไหนปรากฏแก่พระพุทธองค์เต็มที่ ที่ไหน เมื่อไร ?
        ตอบ :
พระพุทธคุณบทว่า อรหํสมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู พุทฺโธ ภควา ปรากฏแก่พระพุทธองค์เต็มที่ ณ ควงไม้พระมหาโพธิ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ตั้งแต่ครั้งแรกตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 พระพุทธคุณบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ปรากฏแก่พระพุทธองค์เต็มที่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในพระนครพาราณสี ตั้งแต่ครั้งแสดงอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ฯ
 
 ๓. พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ
 
 ๔. อนิมิสเจดีย์และรัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำกิจอะไร ?
        ตอบ :
อนิมิสเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับยืนจ้องดูต้นพระมหาโพธิ์ โดยมิได้กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน
 รัตนจงกรมเจดีย์ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นแล้วเสด็จจงกรม ณ ที่นั้นถ้วน ๗ วัน ฯ
 
 ๕. ภัพพบุคคลและอภัพพบุคคล ที่ท่านเปรียบกับดอกบัว ๔ เหล่า คือบุคคลประเภทใดบ้าง ?
        ตอบ :
ภัพพบุคคล คือบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ได้แก่
 อุคฆฏิตัญญู ที่เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ วิปจิตัญญู ที่เปรียบด้วยดอกบัวเสมอน้ำ
 และเนยยะ ที่เปรียบด้วยดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ
 ส่วนอภัพพบุคคล คือบุคคลผู้ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ได้แก่ ปทปรมะ ที่เปรียบด้วยดอกบัวที่เป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า ฯ
 
 ๖. พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระอัครสาวกทั้ง ๒ ว่าเป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์สพรหมจารีทั้งหลาย มีอุปมาต่างกันอย่างไร ?
        ตอบ :
มีอุปมาต่างกันอย่างนี้ พระสารีบุตรเถระ เปรียบเหมือนมารดาผู้ให้บุตรเกิด ย่อมแนะนำให้กุลบุตรตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระมหาโมคคัลลานเถระ เปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกผู้เกิดแล้วนั้น ย่อมแนะนำให้กุลบุตรตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงกว่านั้น ฯ
 ๗. อนุรุทธศากยะออกบวชเพราะมูลเหตุอะไร ผู้ที่ออกบวชพร้อมกับท่าน มีใครบ้าง ?
        ตอบ :
เพราะมูลเหตุจากการที่อนุรุทธศากยะเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ซึ่งควรออกบวชตามพระพุทธเจ้า อย่างที่เจ้าศากยะองค์อื่นผู้มีชื่อเสียงได้กระทำกัน และครั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของมหานามศากยะผู้พี่ว่า การงานของผู้อยู่ครองเรือนไม่มีสิ้นสุด ที่สุดของการงานไม่มีปรากฏ จึงตัดสินใจให้พี่อยู่ครองเรือน ส่วนตนออกบวช มีพระเจ้าภัททิยะ อานันทะ ภัคคุ กิมพิละ เทวทัต และอุบาลี ฯ
 
 ๘. พระสาวกผู้กล่าวว่า โลกคือหมู่สัตว์อันชราเป็นผู้นำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน ดังนี้ คือใคร กล่าวแก่ใคร ได้รับเอตทัคคะในทางใด ?
        ตอบ :
คือ พระรัฐบาล
 แก่พระเจ้าโกรัพยะ
 ในทางเป็นยอดของภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา ฯ
 
 ๙. นิมิตโอภาสที่พระศาสดาทรงแสดงแก่พระอานนท์ก่อนทรงปลงอายุสังขาร มีใจความว่าอย่างไร ทรงแสดงเพื่ออะไร ?
        ตอบ :
มีใจความว่า อิทธิบาททั้ง ๔ ประการ ท่านผู้ใดผู้หนึ่งได้เจริญให้มากแล้ว สามารถจะดำรงอยู่ได้กัป ๑ หรือเกินกว่านั้น อิทธิบาททั้ง ๔ นั้น พระตถาคตได้เจริญแล้ว ถ้าทรงปรารถนา ก็จะดำรงอยู่ได้กัป ๑ หรือ เกินกว่านั้น
 เพื่อให้พระอานนท์กราบทูลอาราธนาให้ทรงดำรงอยู่ชั่วอายุกัป ๑ หรือเกินกว่านั้น ฯ
 
 ๑๐. อายุสังขาราธิษฐานกับการปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?
        ตอบ :
อายุสังขาราธิษฐาน หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระหฤทัยว่า จักดำรงพระชนม์อยู่แสดงธรรมสั่งสอนมหาชนจนกว่าพุทธบริษัทจะตั้งมั่น และได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลายมั่นคงสำเร็จประโยชน์แก่มหาชน
 ที่อชปาลนิโครธ ใกล้สถานที่ตรัสรู้
 การปลงอายุสังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน
 ที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๓


 ๑. พระสารีบุตรปรินิพพานที่ไหน ท่านเลือกสถานที่นั้นเพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
ที่ นาลันทคาม แคว้นมคธ เพราะตั้งใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาของท่าน ให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน ฯ
 
 ๒. พระมหากัสสปะ กับพระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นต่างกันอย่างไร ?
        ตอบ :
พระมหากัสสปะ ออกบวชเพราะคิดเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี มีใจเบื่อหน่าย จึงละสมบัติแล้วออกบวช
 พระรัฐบาล ออกบวชเพราะว่ามีความคิดเห็นตามธรรมุเทศ ๔. ข้อที่พระศาสดาทรงแสดงว่า
 ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
 ๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
 ๓. โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
 ๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
 
 ๓. พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อครั้งยังเป็นพระราชกุมาร ได้ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไรบ้าง ?
        ตอบ :
ได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า
 ๑. ขอให้ข้าพเจ้าได้รับอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินมคธนี้เถิด
 ๒. ขอท่านผู้เป็นพระอรหันต์ผู้รู้เองเห็นเองโดยชอบ พึงมายังแว่นแคว้นของข้าพเจ้าผู้ได้รับอภิเษกแล้ว
 ๓. ขอข้าพเจ้าพึงได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์นั้น
 ๔. ขอพระอรหันต์นั้นพึงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า
 ๕. ขอข้าพเจ้าพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์นั้น ฯ
 
 ๔. สตานุสารีวิญญาณ คืออะไร เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษ ความว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
วิญญาณไปตามสติ ความว่า ทุกรกิริยานี้ จักไม่เป็นทางเพื่อการตรัสรู้ แต่อานาปานสติปฐมฌานจักเป็นทางเพื่อการตรัสรู้แน่ ฯ
 
 ๕. มหาปุริสลักษณะมีกี่ประการ พระอุณาโลม กับพระอุณหิสต่างกันอย่างไร ?
        ตอบ :
มี ๓๒ ประการ พระอุณาโลม ได้แก่ พระโลมาที่ขาวละเอียดอ่อนคล้ายสำลีอยู่ในระหว่างพระโขนง ส่วนพระอุณหิสนั้น ได้แก่พระเศียรที่กลมเป็นปริมณฑลดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ฯ
 
 ๖. พระสาวกรูปใด เป็นเอตทัคคะทางมีปัญญามาก ทางขยายความย่อให้พิสดาร ทางมีวาจาไพเราะ ทางทรงจีวรเศร้าหมอง และในท่านเหล่านั้น องค์ไหนเป็นที่เลื่อมใสของผู้เป็นรูปัปปมาณิกา โฆสัปปมาณิกา ลูขัปปมาณิกา และธัมมัปปมาณิกา ?
        ตอบ :
พระสารีบุตร เป็นเอตทัคคะทางมีปัญญามาก และเป็นที่เลื่อมใสของผู้เป็นธัมมัปปมาณิกา
 พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะทางขยายความย่อให้พิสดาร และเป็นที่เลื่อมใสของผู้เป็นรูปัปปมาณิกา
 พระโมฆราช เป็นเอตทัคคะทางทรงจีวรเศร้าหมอง และเป็นที่เลื่อมใสของผู้เป็นลูขัปปมาณิกา
 พระโสณกุฏิกัณณะ เป็นเอตทัคคะทางมีวาจาไพเราะ และเป็นที่เลื่อมใสของผู้เป็นโฆสัปปมาณิกา ฯ
 
 ๗. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
 
 ๘. พระอรหันตสาวก ๑๐ องค์แรกในพระพุทธศาสนา คือใครบ้าง มีท่านใดได้รับเอตทัคคะบ้าง และเป็นเอตทัคคะในทางไหน ?
        ตอบ :
คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ พระยสะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติ มีพระอัญญาโกณฑัญญะรูปเดียว ในทางรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน ฯ
 ๙. ถูปารหบุคคล คือใคร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
        ตอบ :
คือ บุคคลผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้ประดิษฐาน มี ๔ ประเภท คือ ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
 
 ๑๐. อภิญญาเทสิตธรรมมีอะไรบ้าง ทรงแสดงแก่ใคร ที่ไหน ?
        ตอบ :
มี สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ทรงแสดงแก่ภิกษุสงฆ์ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๒


 ๑. ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทที่ทรงกำหนดรู้แล้วนั้นอย่างไร ณ สถานที่ใด ?
        ตอบ :
คือ สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ทรงพิจารณาตามลำดับและถอยกลับทั้งข้างเกิดข้างดับตลอดยาม ๓ แห่งราตรี ณ ภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ฯ
 
 ๒. ภายหลังแต่ตรัสรู้แล้ว ในสัปดาห์ที่ ๗ พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ไหน และมีเหตุการณ์สำคัญตามที่พระคันถรจนาจารย์กล่าวไว้อย่างไรบ้าง ?
        ตอบ :
ในสัปดาห์ที่ ๗ เสด็จประทับอยู่ภายใต้ไม้ราชายตนะ มีพ่อค้า ๒ คน ชื่อตปุสสะ และภัลลิกะ เดินทางผ่านมา ได้ถวายข้าวสัตตุผงสัตตุก้อน และแสดงตนเป็นอุบาสกถึงรัตนะ ๒ เป็นคู่แรกในโลก ฯ
 
 ๓. พระอัญญาโกณฑัญญะเดิมชื่ออะไร ที่ได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ เพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
ชื่อโกณฑัญญะ เพราะได้ดวงตาเห็นธรรมขณะฟังปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงทรงเปล่งอุทานว่า อัญญาสิๆ แปลว่า ได้รู้แล้วๆ อาศัยพระอุทานนี้ คำว่า อัญญาโกณฑัญญะ จึงได้เป็นชื่อของท่านตั้งแต่บัดนั้นมา ฯ
 
 ๔. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทด้วยอาการ ๔ อย่าง อะไรบ้าง ?
        ตอบ :
ด้วยอาการดังนี้
 ๑. สันทัสสนา อธิบายให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจชัด
 ๒. สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทานคือทำตาม
 ๓. สมุตเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ
 ๔. สัมปหังสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ
 
 ๕. พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระเถระรูปใดเปรียบด้วยแมลงผึ้งตัวเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป และทรงสรรเสริญไว้อย่างไร ?
        ตอบ :
ทรงสรรเสริญพระมหาโมคคัลลานะ ทรงสรรเสริญไว้ว่า ท่านไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลที่เข้าไปหาให้เสีย ฯ
 
 ๖. พระพุทธองค์ทรงแสดงสุจริตธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทำให้ทั้ง ๒ พระองค์ได้บรรลุอริยผลชั้นไหน ?
        ตอบ :
ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุสกทาคามิผล และพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงบรรลุโสดาปัตติผล ฯ
 
 ๗. พระดำรัสว่า “เธอไปเองเถิด เมื่อเธอไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจักทรงเลื่อมใส” พระศาสดาตรัสกะพระเถระรูปใด พระเถระรูปนั้นได้ไปประกาศพระพุทธศาสนาที่ไหน และได้ผลอย่างไร ?
        ตอบ :
ตรัสกะพระมหากัจจายนะ ที่กรุงอุชเชนี
 ได้ผลคือ พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองเลื่อมใส ฯ
 
 ๘. พราหมณ์พาวรีผูกปัญหาให้มาณพ ๑๖ คน ผู้เป็นศิษย์ทูลถามพระบรมศาสดาเพื่อประสงค์อะไร ปัญหาว่า “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤษี กษัตริย์ พราหมณ์เป็นอันมากอาศัยอะไร จึงบูชายัญ บวงสรวงเทวดา” ผู้ทูลถามคือใคร และทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
พราหมณ์พาวรีประสงค์จะสืบสวนให้ได้ความแน่นอนว่าพระโอรสของศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตามข่าวเล่าลือนั้นเป็นจริงหรือไม่ ผู้ทูลถามคือปุณณกมาณพ ทรงพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้นอยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรมจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
 
 ๙. พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะหลายอย่างกว่าสาวกรูปอื่นคือใคร เป็นเอตทัคคะในทางใดบ้าง ?
        ตอบ :
คือ พระอานนทเถระ ในทาง ๑. เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นพหูสูต ๒. เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีคติ ๓. เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีสติ ๔. เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีธิติปัญญาจำทรง ๕. เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นอุปัฏฐาก ฯ
 
 ๑๐. สังคายนาคืออะไร พระสุภัททวุฑฒบรรพชิตผู้เป็นเหตุให้พระมหากัสสปะทำปฐมสังคายนา ได้กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย มีใจความว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
คือ การประชุมกันเรียบเรียงศาสนธรรมคำสอนของพระศาสนาวางไว้เป็นแบบแผน มีใจความว่า ท่านทั้งปวงอย่าโศกเศร้า อย่าร้องไห้ร่ำไรไปเลย เมื่อพระสมณโคดมยังอยู่นั้น เบียดเบียนว่ากล่าว ว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร จำเดิมแต่นี้เราปรารถนาจะกระทำสิ่งใด เราก็ กระทำสิ่งนั้นได้ พระสมณโคดมนิพพานเสียก็พ้นทุกข์พ้นร้อนเราทั้งปวงแล้ว ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๑


 ๑. พุทธประวัติ วิภาคที่ ๑ ปุริมกาล และวิภาคที่ ๓ อปรกาล ที่ทรงรจนาไว้แสดงถึงเรื่องอะไร ?
        ตอบ :
ปุริมกาล แสดงถึงเรื่องเป็นไปในกาลก่อนแต่บำเพ็ญพุทธกิจ, อปรกาล แสดงถึงเรื่องถวายพระเพลิงและแจกพระธาตุ ฯ
 
 ๒. ในขณะเสวยวิมุตติสุขใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาข้อธรรมอะไร และธรรมนั้นมีใจความย่อว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท มีใจความย่อว่า สภาวะอย่างหนึ่งเป็นผลเกิดแต่เหตุอย่างหนึ่งแล้ว ซ้ำเป็นเหตุยังผลอย่างอื่นให้เกิดต่อไปอีก เหมือนลูกโซ่เกี่ยวคล้องกันเป็นสาย ฯ
 
 ๓. อนุปุพพีกถาและสามุกกังสิกธรรม คืออะไร พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่บุคคลผู้มีองคสมบัติอะไร ?
        ตอบ :
อนุปุพพีกถา คือ ถ้อยคำที่กล่าวเรียงเรื่องเป็นลำดับไปคือ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามาทีนวกถา เนกขัมมานิสังสกถา
 สามุกกังสิกธรรม คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงเอง
 ได้แก่ อริยสัจ ๔
 ผู้มีองคสมบัติ คือ ๑. เป็นมนุษย์ ๒. เป็นคฤหัสถ์ ๓. มีอุปนิสัยแก่กล้า ควรบรรลุโลกุตรคุณในที่นั้น ฯ
 
 ๔. พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมบริวารโดยบังเอิญหรือโดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน มีหลักฐานสนับสนุนคำตอบนั้นอย่างไร ?
        ตอบ :
โดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน มีหลักฐานปรากฏว่า ในครั้งที่ทรงส่งพระสาวก ๖๐ องค์แรกไปประกาศพระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ ทรงมีพระดำรัสว่า “แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ
 
 ๕. มีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า สัตบุรุษตั้งมั่นแล้วในสัจจะที่เป็นอรรถเป็นธรรม ดังนี้ ข้อนี้ มีปฏิปทาของพระสาวกรูปใด ที่ให้สัญญาต่อกันไว้แล้วปฏิบัติตามสัญญานั้นเป็นตัวอย่าง ? จงเล่าเรื่องประกอบ
        ตอบ :
มีปฏิปทาของพระสารีบุตร เป็นตัวอย่าง เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้งที่ท่านและพระโมคคัลลานะยังไม่ได้อุปสมบท เคยให้สัญญากันว่า ใครได้โมกขธรรมก่อน จะบอกแก่กัน ต่อมาท่านพระสารีบุตรได้ฟังอริยสัจจกถาแต่สำนักพระอัสสชิแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม จึงนำข้อความนั้นไปบอกแก่พระโมคคัลลานะ จนได้บรรลุธรรมเช่นเดียวกัน ฯ
 
 ๖. พระเจ้าโกรัพยะตรัสถึงเหตุแห่งความเสื่อมที่จะให้คนออกบวชกะพระสาวกรูปใด เหตุแห่งความเสื่อมนั้นได้แก่อะไรบ้าง ?
        ตอบ :
กะพระรัฏฐปาลเถระ เหตุแห่งความเสื่อมนั้น ได้แก่ ๑. ความแก่ชรา ๒. ความเจ็บ ๓. ความสิ้นโภคทรัพย์ ๔. ความสิ้นญาติ ฯ
 
 ๗. ในวันที่พระมหาบุรุษประสูติ มีสหชาติที่เกิดพร้อมกันกี่อย่าง อะไรบ้าง ?
        ตอบ :
มี ๗ อย่าง คือ ๑. พระนางพิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬุทายีอมาตย์ ๔. ฉันนะอมาตย์ ๕. ม้ากัณฐกะ ๖. ต้นมหาโพธิ์ ๗. ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ฯ
 
 ๘. การทำสังคายนาครั้งที่ ๓ มีมูลเหตุจากอะไร ใครเป็นผู้อุปถัมภ์ พระสงฆ์ผู้เข้าร่วมทำสังคายนามีจำนวนเท่าไร ใครเป็นประธาน ใช้เวลานานเท่าไร ?
        ตอบ :
มีมูลเหตุจากพวกเดียรถีย์เป็นจำนวนมากปลอมบวชในพระพุทธศาสนา พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ มีจำนวน ๑,๐๐๐ รูป พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ใช้เวลา ๙ เดือน ฯ
 
 ๙. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชด้วยเหตุต่อไปนี้ ?
 ก. บวชด้วยศรัทธา
 ข. บวชเพราะจำใจ
 ค. บวชตามเพื่อน
 ง. บวชเพราะเห็นโทษของการครองเรือน
        ตอบ :
 
ก. บวชด้วยศรัทธา คือ พระรัฐบาลเถระ
 ข. บวชเพราะจำใจ คือ พระนันทเถระ
 ค. บวชตามเพื่อน คือ พระวิมล พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ
 ง. บวชเพราะเห็นโทษของการครองเรือน คือ พระมหากัสสปเถระ ฯ
 
 ๑๐. ถูปารหบุคคล ได้แก่บุคคลเช่นไร มีใครบ้าง ?
        ตอบ :
ได้แก่ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส มี ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ๒. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
 ๓. พระอรหันตสาวก
 ๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
 


นักธรรม ชั้นเอก

ปัญหาและเฉลย วิชา พุทธานุพุทธประวัติ

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๕๐


 ๑. จงเล่าความเป็นมาของพุทธโกลาหล ?
        ตอบ :
เมื่อสุทธาวาสมหาพรหมทั้งหลายลงมาเที่ยวประกาศทั่วหมื่นโลกธาตุว่า เบื้องหน้าแต่นี้ล่วงไปอีกแสนปี พระสัพพัญญูจะบังเกิดในโลก ถ้าใคร่จะพบเห็น จงเว้นจากเวรทั้ง ๕ อุตส่าห์บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา กระทำการกุศลต่างๆ ดังนี้ จึงทำให้เกิดพุทธโกลาหลขึ้น ฯ
 
 ๒. ฤษีปัญจวัคคีย์ออกบวชตามและอยู่ปรนนิบัติพระพุทธองค์ขณะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เพราะคิดอย่างไร หลีกหนีไปเพราะคิดอย่างไร และการทั้ง ๒ นั้น มีผลดีอย่างไร ?
        ตอบ :
ออกบวชตามเพราะคิดว่า บรรพชาของพระองค์คงมีประโยชน์ พระองค์บรรลุธรรมใด จักทรงสั่งสอนให้ตนบรรลุธรรมนั้นบ้าง
 หลีกไปโดยคิดว่าพระองค์ทรงละทุกรกิริยาแล้ว คงจะไม่บรรลุธรรมพิเศษอันใดได้ การมาปรนนิบัตินั้นทำให้สามารถเป็นพยานได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเคยประพฤติอัตตกิลมถานุโยคอย่างอุกฤษฏ์มาแล้ว แม้เช่นนี้ก็ไม่เป็นทางที่จะให้รู้ธรรมพิเศษอันใดได้ ส่วนการหลีกหนีไปนั้นก็เป็นผลดี
 เพราะเวลานั้นเป็นเวลาบำเพ็ญเพียรทางจิต ซึ่งต้องการความสงัด ฯ
 
 ๓. พระมหาสุบินนิมิตก่อนจะตรัสรู้ที่ว่า เสด็จจงกรมบนภูเขาอุจจาระโดยพระบาทไม่แปดเปื้อน หมายถึงอะไร ?
        ตอบ :
หมายถึง จะทรงได้ปัจจัยทั้ง ๔ แต่มิได้มีพระทัยปลิโพธ เอื้อเฟื้อในปัจจัยทั้งปวง ฯ
 
 ๔. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ที่ไหน และได้รับผลอย่างไร ?
        ตอบ :
มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็นและกระดูกก็ตามที ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
 ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
 ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
 
 ๕. ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไรในอริยสัจ ๔ ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ทำให้พระพุทธองค์ทรงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบที่ว่ารอบ ๓ อาการ ๑๒ คืออย่างไร ?
        ตอบ :
คือ ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงว่า
 นี้ทุกข์ ทุกข์นั้นควรกำหนดรู้ ทุกข์นั้นได้กำหนดรู้แล้ว
 นี้เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์นั้นควรละ เหตุให้เกิดทุกข์นั้นได้ละแล้ว
 นี้เหตุให้ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับนั้นควรทำให้แจ้ง เหตุให้ทุกข์ดับนั้นได้ทำให้แจ้งแล้ว
 นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ข้อปฏิบัตินั้นควรทำให้เกิด ข้อปฏิบัตินั้นได้ทำให้เกิดแล้ว ฯ
 
 ๖. ก่อนจะทรงแสดงอริยสัจ ๔ พระพุทธองค์ทรงแสดงส่วนสุด ๒ อย่างแก่ปัญจวัคคีย์ แต่ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ยสกุลบุตร เพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
เพราะปัญจวัคคีย์ได้ละกามออกบวชเป็นฤษีแล้ว ซึ่งบรรพชิตในครั้งนั้นหมกมุ่นอยู่ในส่วนสุด ๒ อย่าง คือ อัตตกิลมถานุโยคและกามสุขัลลิกานุโยค ฤษีปัญจวัคคีย์ติดอยู่ในอัตตกิลมถานุโยค จึงไม่จำต้องแสดงอนุปุพพีกถาเพื่อฟอกจิตให้สะอาดจากกาม แต่ยสกุลบุตรเป็นผู้เสพกามอยู่ครองเรือน กำลังได้รับความขัดข้องวุ่นวายจากกามอยู่จึงทรงแสดงอนุปุพพีกถาฟอกจิตให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับธรรมเทศนาคืออริยสัจ ๔ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น ฯ
 
 ๗. พระพุทธบัญญัติที่ว่า ผู้ขออุปสมบทต้องได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาก่อนนั้น มีประวัติความเป็นมาโดยย่ออย่างไร ?
        ตอบ :
พระเจ้าสุทโธทนะทรงโทมนัสมาก เพราะพระสิทธัตถราชกุมาร พระนันทะ และพระราหุล เสด็จออกผนวชแล้ว สิ้นผู้จะสืบราชวงศ์ต่อไป ทรงปรารถทุกข์นี้ที่จะพึงมีแก่มารดาบิดาในตระกูลอื่น จึงทูลขอพระพุทธองค์ให้มารดาบิดาต้องอนุญาตก่อนจึงจะบวชกุลบุตรได้
 จึงเกิดพระพุทธบัญญัติข้อนี้ขึ้น ฯ
 
 ๘. บิณฑบาตของนางสุชาดาที่ถวายก่อนแต่ตรัสรู้ และของนายจุนทะที่ถวาย ก่อนแต่เสด็จปรินิพพาน มีผลเสมอกัน มีวิบากเสมอกัน เพราะเหตุไร ?
        ตอบ :
เพราะ
 ก. ปรินิพพานเสมอกัน คือ สอุปาทิเสสปรินิพพาน และอนุปาทิเสสปรินิพพาน
 ข. สมาบัติเสมอกัน คือ ทรงเข้าสู่สมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิเสมอกันก่อนจะตรัสรู้และก่อนจะปรินิพพาน
 ค. เมื่อบุคคลทั้ง ๒ ระลึกถึงการถวายบิณฑบาตของตนก็บังเกิดปีติโสมนัสอย่างแรงกล้าเหมือนกัน ฯ
 
 ๙. ใครเป็นผู้ถามพระปุณณมันตานีบุตรว่า ข้าพเจ้าถามท่านว่า ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออย่างนั้นหรือ ท่านก็ตอบว่า ไม่อย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไรเล่า
 และได้รับคำตอบว่าอย่างไร ?
        ตอบ :
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม ได้รับคำตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ
 
 ๑๐. พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ องค์ เท่าที่ปรากฏในหนังสือพุทธานุพุทธประวัติ มีองค์ใดนิพพานก่อนและหลังพระพุทธองค์บ้าง จงบอกมาอย่างละ ๒ องค์ ?
        ตอบ :
(ตอบเพียงอย่างละ ๒ องค์)
 ผู้นิพพานก่อนพระพุทธองค์ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระราหุล
 ผู้นิพพานหลังพระพุทธองค์ คือ พระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอนุรุทธะ พระอานนท์ ฯ